ขี่ E-Bike ได้เงิน? อนาคต ‘คาร์บอนเครดิต’ ในไทย
- ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต
- จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) กับโอกาสในการสร้างคาร์บอนเครดิต
- ภาพรวมตลาดคาร์บอนเครดิตและนโยบายภาครัฐในประเทศไทย
- อนาคตของผู้ใช้ E-Bike ในตลาดคาร์บอนไทย
- บทสรุป: การเดินทางสู่รายได้เสริมจากเทรนด์รักษ์โลก
- เริ่มต้นการเดินทางที่ยั่งยืนกับจักรยานไฟฟ้า
แนวคิดเรื่องการ ขี่ E-Bike ได้เงิน? อนาคต ‘คาร์บอนเครดิต’ ในไทย กำลังกลายเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่งในยุคที่ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการลดโลกร้อน การใช้จักรยานไฟฟ้าไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังอาจเป็นช่องทางในการสร้างรายได้เสริมในอนาคตอันใกล้ ผ่านกลไกที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ออกแบบมาเพื่อจูงใจให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- คาร์บอนเครดิตคืออะไร: คาร์บอนเครดิตเป็นหน่วยวัดที่ใช้รับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงหรือหลีกเลี่ยงได้จากการทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสามารถนำไปซื้อขายในตลาดได้
- E-Bike กับการลดคาร์บอน: การใช้จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) แทนยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เป็นกิจกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรง จึงมีศักยภาพในการสร้างคาร์บอนเครดิต
- ตลาดคาร์บอนในไทย: ประเทศไทยกำลังพัฒนาและส่งเสริมตลาดคาร์บอนเครดิตอย่างจริงจัง โดยมีมาตรฐาน T-VER เป็นกลไกหลักในการรับรอง และมีความต้องการจากภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- โอกาสในอนาคต: แม้ปัจจุบันยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการให้คาร์บอนเครดิตแก่ผู้ใช้จักรยานไฟฟ้าโดยตรง แต่ด้วยทิศทางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ทำให้ความเป็นไปได้ที่ผู้ใช้ E-Bike จะได้รับผลประโยชน์ในรูปแบบนี้มีสูงขึ้นในอนาคต
ในยุคที่ความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อมกลายเป็นวาระสำคัญระดับโลก ผู้คนต่างมองหาแนวทางในการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือการเลือกใช้ยานพาหนะพลังงานสะอาดอย่างจักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดมลพิษทางอากาศและเสียง แต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ที่น่าสนใจ นั่นคือการสร้างรายได้จาก “คาร์บอนเครดิต” บทความนี้จะเจาะลึกถึงกลไกของคาร์บอนเครดิต ความเชื่อมโยงกับการใช้จักรยานไฟฟ้า และวิเคราะห์ถึงศักยภาพและอนาคตของแนวคิดนี้ในบริบทของประเทศไทยที่กำลังมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต
ก่อนที่จะสำรวจว่าการขี่จักรยานไฟฟ้าจะสร้างรายได้ได้อย่างไร การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของคาร์บอนเครดิตเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนี่คือหัวใจหลักของกลไกทั้งหมดที่จะเปลี่ยนกิจกรรมลดโลกร้อนให้กลายเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ
นิยามและกลไกการทำงาน
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือ สิทธิที่เกิดขึ้นจากการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ โดย 1 คาร์บอนเครดิต มีค่าเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ปริมาณ 1 ตัน กิจกรรมหรือโครงการใดๆ ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้จริง เมื่อเทียบกับกรณีปกติ (Business-as-usual) จะสามารถนำปริมาณก๊าซที่ลดได้นั้นมาคำนวณและขอรับรองเป็นคาร์บอนเครดิต
เมื่อได้รับการรับรองแล้ว เครดิตเหล่านี้สามารถนำไปซื้อขายใน “ตลาดคาร์บอน” ได้ โดยผู้ซื้อส่วนใหญ่มักเป็นองค์กรหรือโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเอง แต่ไม่สามารถลดได้ตามเป้าหมายด้วยกระบวนการภายใน จึงต้องซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการอื่นมาชดเชย กลไกนี้จึงสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้เกิดโครงการลดโลกร้อนในวงกว้างมากขึ้น
คาร์บอนเครดิตเปรียบเสมือน “สกุลเงิน” ในระบบเศรษฐกิจสีเขียว ที่แปลงความพยายามในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องและซื้อขายได้
มาตรฐาน T-VER: กลไกสำคัญของไทย
เพื่อให้การรับรองคาร์บอนเครดิตมีความน่าเชื่อถือและเป็นมาตรฐานสากล แต่ละประเทศจึงมีหน่วยงานและเกณฑ์การรับรองของตนเอง สำหรับประเทศไทย กลไกหลักที่ใช้คือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า T-VER
โครงการ T-VER พัฒนาขึ้นโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกโดยสมัครใจ โครงการที่จะขอรับรองมาตรฐาน T-VER ได้นั้นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบและทวนสอบอย่างเข้มงวด เพื่อให้มั่นใจว่าการลดการปล่อยก๊าซนั้นเกิดขึ้นจริงและสามารถวัดผลได้อย่างแม่นยำ ซึ่งรวมถึงโครงการด้านพลังงานหมุนเวียน การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน การจัดการของเสีย และการขนส่งที่ใช้พลังงานไฟฟ้า
จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) กับโอกาสในการสร้างคาร์บอนเครดิต
เมื่อเข้าใจหลักการของคาร์บอนเครดิตแล้ว คำถามต่อไปคือ การขี่จักรยานไฟฟ้าซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนบุคคล จะสามารถเข้าร่วมในกลไกนี้ได้อย่างไร คำตอบอยู่ที่ความสามารถในการ “ลด” และ “พิสูจน์” การปล่อยก๊าซเรือนกระจก
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการเดินทาง
หัวใจสำคัญของแนวคิดนี้คือการ “ทดแทน” การเดินทางรูปแบบเดิมที่สร้างมลพิษสูง ทุกครั้งที่บุคคลเลือกใช้จักรยานไฟฟ้าแทนการขับรถยนต์หรือขี่รถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เท่ากับว่าบุคคลนั้นได้ “หลีกเลี่ยง” การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ปริมาณก๊าซที่หลีกเลี่ยงได้นี้เองคือศักยภาพในการสร้างคาร์บอนเครดิต
ยกตัวอย่างเช่น หากการเดินทางด้วยรถจักรยานยนต์เป็นระยะทาง 10 กิโลเมตร ปล่อยก๊าซ CO2 จำนวนหนึ่ง แต่การเดินทางด้วย E-Bike ในระยะทางเท่ากันแทบไม่ปล่อยก๊าซ CO2 โดยตรง (การปล่อยก๊าซจะมาจากกระบวนการผลิตไฟฟ้า ซึ่งยังคงน้อยกว่าการเผาไหม้เชื้อเพลิงโดยตรง) ส่วนต่างของปริมาณก๊าซที่ลดลงได้นี้สามารถนำมาสะสมและคำนวณเป็นคาร์บอนเครดิตได้เมื่อมีปริมาณมากพอ
| ประเด็นเปรียบเทียบ | รถยนต์สันดาป | รถจักรยานยนต์สันดาป | จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) |
|---|---|---|---|
| การปล่อยก๊าซโดยตรง | สูง (จากการเผาไหม้น้ำมัน) | ปานกลาง (จากการเผาไหม้น้ำมัน) | ไม่มี |
| แหล่งพลังงาน | น้ำมันเบนซิน/ดีเซล | น้ำมันเบนซิน | ไฟฟ้า (จากระบบโครงข่าย) |
| ศักยภาพสร้างคาร์บอนเครดิต | ไม่มี (เป็นตัวตั้งต้นในการเปรียบเทียบ) | ไม่มี (เป็นตัวตั้งต้นในการเปรียบเทียบ) | สูง (จากการทดแทนการใช้ยานพาหนะสันดาป) |
| ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | มลพิษทางอากาศและเสียง | มลพิษทางอากาศและเสียง | ต่ำมาก (ขึ้นอยู่กับแหล่งผลิตไฟฟ้า) |
กระบวนการเปลี่ยนระยะทางสู่คาร์บอนเครดิต
การแปลงกิจกรรมการขี่ E-Bike ให้เป็นคาร์บอนเครดิตที่ซื้อขายได้นั้นมีความซับซ้อนและต้องอาศัยระบบที่น่าเชื่อถือ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะต้องประกอบด้วยขั้นตอนดังนี้:
- การรวบรวมข้อมูล: ต้องมีระบบบันทึกข้อมูลการเดินทาง เช่น ระยะทาง เส้นทาง และความถี่ในการใช้งาน ซึ่งอาจทำผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับจักรยานไฟฟ้า
- การคำนวณการลดก๊าซ: นำข้อมูลการเดินทางมาคำนวณเปรียบเทียบกับปริมาณการปล่อยก๊าซของยานพาหนะที่ถูกทดแทน (เช่น รถจักรยานยนต์) ตามหลักการและสูตรคำนวณที่ได้รับการยอมรับ
- การรวบรวมและขึ้นทะเบียนโครงการ: โดยปกติแล้ว ผู้ใช้รายย่อยไม่สามารถนำกิจกรรมของตนไปขึ้นทะเบียนได้โดยตรง แต่จะต้องมี “ผู้รวบรวมโครงการ” (Aggregator) ซึ่งอาจเป็นบริษัทเทคโนโลยี แพลตฟอร์ม หรือหน่วยงานภาครัฐ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลการลดก๊าซจากผู้ใช้ E-Bike จำนวนมากเข้าด้วยกันเป็นโครงการใหญ่เพียงโครงการเดียว
- การทวนสอบและรับรอง: โครงการที่รวบรวมได้จะต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้ประเมินภายนอก (Third-party Verifier) เพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลและการคำนวณ ก่อนจะยื่นขอการรับรองคาร์บอนเครดิตจากหน่วยงานอย่าง อบก.
- การซื้อขายและแบ่งปันผลประโยชน์: เมื่อโครงการได้รับการรับรองและได้คาร์บอนเครดิตมาแล้ว ผู้รวบรวมโครงการจะนำเครดิตไปขายในตลาด และแบ่งปันรายได้กลับคืนสู่ผู้ใช้งาน E-Bike ที่เข้าร่วมโครงการในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินคืน ส่วนลด หรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ
ในต่างประเทศเริ่มมีโมเดลลักษณะนี้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นแนวทางที่ประเทศไทยกำลังศึกษาเพื่อนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของประเทศต่อไป
ภาพรวมตลาดคาร์บอนเครดิตและนโยบายภาครัฐในประเทศไทย
โอกาสที่ผู้ใช้ E-Bike จะสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตได้จริงนั้น ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งและการเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตภายในประเทศ รวมถึงนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีทิศทางที่ชัดเจนและมีพัฒนาการที่น่าจับตามอง
สถานการณ์และแนวโน้มของตลาด
ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงของการเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจัยสำคัญมาจากแรงกดดันของนานาชาติและเป้าหมายของประเทศในการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ทำให้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่จำนวนมากต่างตั้งเป้าหมาย Net Zero ของตนเอง และมองหาคาร์บอนเครดิตเพื่อมาชดเชยการปล่อยก๊าซที่ยังไม่สามารถลดได้
ข้อมูลระบุว่าความต้องการคาร์บอนเครดิตในไทยมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าราคาซื้อขายเฉลี่ยในปัจจุบัน (ประมาณ 108 บาทต่อ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) จะยังต่ำกว่าตลาดโลก แต่ก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามกลไกตลาดและความต้องการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน การขนส่ง และเทคโนโลยีสีเขียว
แรงขับเคลื่อนจากนโยบายภาครัฐและภาษีคาร์บอน
ภาครัฐมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกระตุ้นตลาดคาร์บอนเครดิต รัฐบาลไทยได้วางแผนและส่งเสริมนโยบายที่เกี่ยวข้องหลายด้าน หนึ่งในนโยบายที่สำคัญที่สุดคือการเตรียมบังคับใช้ “ภาษีคาร์บอน” (Carbon Tax) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในปี พ.ศ. 2568
การเก็บภาษีคาร์บอนจะทำให้ผู้ประกอบการที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมากมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นแรงผลักดันโดยตรงให้องค์กรเหล่านี้ต้องเร่งลดการปล่อยก๊าซของตนเอง หรือหันมาซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อชดเชย นโยบายนี้จึงเปรียบเสมือนการสร้างอุปสงค์ (Demand) ในตลาดคาร์บอนให้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และจะส่งผลดีต่อราคาและสภาพคล่องของตลาดในระยะยาว
บทบาทของภาคเอกชนในการขับเคลื่อนตลาด
นอกเหนือจากแรงผลักดันจากภาครัฐแล้ว ภาคเอกชนเองก็เป็นผู้เล่นคนสำคัญที่ทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตของไทยเติบโต บริษัทชั้นนำหลายแห่งได้เริ่มลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกขนาดใหญ่ เช่น บริษัทพลังงานอย่าง EA ที่ลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งโครงการเหล่านี้สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้เป็นจำนวนมหาศาล และเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจในเศรษฐกิจสีเขียว การที่ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันนี้ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและทำให้ตลาดคาร์บอนเครดิตในไทยมีชีวิตชีวามากขึ้น
อนาคตของผู้ใช้ E-Bike ในตลาดคาร์บอนไทย
จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา สะท้อนให้เห็นว่าระบบนิเวศสำหรับคาร์บอนเครดิตในไทยกำลังถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นระบบ คำถามสุดท้ายคือ ผู้ใช้งานจักรยานไฟฟ้าจะสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศนี้และได้รับผลประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมเมื่อใดและอย่างไร
ความท้าทายและขั้นตอนการพิสูจน์
ความท้าทายที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาระเบียบวิธี (Methodology) และเทคโนโลยีที่สามารถ “พิสูจน์” การลดการปล่อยก๊าซจากการใช้ E-Bike ของผู้ใช้แต่ละรายได้อย่างน่าเชื่อถือและมีต้นทุนที่ไม่สูงเกินไป ซึ่งต้องตอบคำถามสำคัญให้ได้ เช่น:
- จะวัดและบันทึกระยะทางการใช้งานจริงของผู้ใช้แต่ละคนได้อย่างไร?
- จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าการขี่ E-Bike ในครั้งนั้นเป็นการ “ทดแทน” การใช้ยานพาหนะสันดาปจริง ไม่ใช่การเดินทางเพิ่มเติมที่ไม่ได้เกิดขึ้นตามปกติ?
- จะใช้ค่ามาตรฐานใดในการคำนวณปริมาณก๊าซที่หลีกเลี่ยงได้?
การแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งภาครัฐในการกำหนดระเบียบวิธีที่ชัดเจน ภาคเอกชน (เช่น บริษัทผู้ผลิต E-Bike หรือผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน) ในการสร้างเทคโนโลยีเพื่อรวบรวมและยืนยันข้อมูล และผู้ประเมินภายนอกในการตรวจสอบความถูกต้อง
รูปแบบผลตอบแทนที่เป็นไปได้
หากสามารถก้าวข้ามความท้าทายดังกล่าวได้ รูปแบบของผลประโยชน์ที่ผู้ใช้ E-Bike อาจได้รับในอนาคตมีความหลากหลาย ไม่จำกัดอยู่แค่ตัวเงินเพียงอย่างเดียว เช่น:
- เงินคืน (Cashback): ผู้รวบรวมโครงการอาจจ่ายเงินส่วนแบ่งจากการขายคาร์บอนเครดิตคืนให้กับผู้ใช้โดยตรงตามสัดส่วนระยะทางที่ใช้งาน
- ส่วนลดและสิทธิประโยชน์: อาจอยู่ในรูปแบบของส่วนลดค่าบำรุงรักษาจักรยาน ส่วนลดค่าบริการสถานีชาร์จ หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ จากพันธมิตรในโครงการ
- เครดิตจากภาครัฐ: ภาครัฐอาจมีนโยบายให้เครดิตหรือเงินอุดหนุนโดยตรงแก่ผู้ที่เปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงกว้าง
บทสรุป: การเดินทางสู่รายได้เสริมจากเทรนด์รักษ์โลก
แนวคิดเรื่องการ ขี่ E-Bike ได้เงิน? อนาคต ‘คาร์บอนเครดิต’ ในไทย ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป แต่เป็นความเป็นไปได้ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของกลไกตลาดและนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่กำลังพัฒนาอย่างเข้มข้นในประเทศไทย การใช้จักรยานไฟฟ้ามีศักยภาพที่ชัดเจนในการเป็นกิจกรรมที่สามารถสร้างคาร์บอนเครดิตได้ ผ่านการทดแทนการเดินทางที่ก่อมลพิษ
แม้ว่าปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและต้องรอการพัฒนากลไกการรับรอง การรวบรวมข้อมูล และการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ชัดเจน แต่ด้วยทิศทางการเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตที่ขับเคลื่อนโดยนโยบายภาครัฐและความต้องการของภาคเอกชน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ในอนาคตอันใกล้ ผู้ใช้จักรยานไฟฟ้าในประเทศไทยจะสามารถเปลี่ยนทุกกิโลเมตรของการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้กลายเป็นรายได้หรือสิทธิประโยชน์ที่จับต้องได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ส่วนบุคคล แต่ยังเป็นการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศของประเทศและของโลกอีกด้วย
เริ่มต้นการเดินทางที่ยั่งยืนกับจักรยานไฟฟ้า
สำหรับผู้ที่สนใจเป็นส่วนหนึ่งของเทรนด์รักษ์โลกและมองหาทางเลือกการเดินทางที่ชาญฉลาด การเลือกใช้จักรยานไฟฟ้าคือจุดเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยม ที่ GIANT Shopping Mall เรามีจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-Bikeหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมเริ่มต้นการเดินทางสู่ความยั่งยืนและโอกาสในอนาคตไปกับเรา
สามารถเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าได้ที่ร้าน หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทาง FACEBOOK PAGE และ LINE
