ส่องนโยบาย EV 4.0: รัฐจะอุดหนุน E-Bike เพิ่มหรือไม่?
ขณะที่มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าเฟส 3.5 กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2568 อุตสาหกรรมและผู้บริโภคต่างจับตามองไปยังทิศทางของนโยบายขั้นต่อไป คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ การมาถึงของนโยบาย EV 4.0 จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และที่สำคัญ รัฐจะอุดหนุน E-Bike หรือจักรยานไฟฟ้าเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อให้พาหนะสองล้อไฟฟ้ากลายเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับประชาชนทั่วไป
- นโยบาย EV 4.0 เป็นการต่อยอดจากมาตรการเดิม มีเป้าหมายหลักเพื่อผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (NEV Hub) ในภูมิภาค
- ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการจากภาครัฐเกี่ยวกับมาตรการอุดหนุนสำหรับจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะภายใต้นโยบาย EV 4.0
- ทิศทางของนโยบายยังคงให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า (BEV และ PHEV) และการเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทาน
- อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงที่ยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กเช่น E-Bike จะได้รับประโยชน์ทางอ้อม หรืออาจถูกรวมอยู่ในมาตรการส่งเสริมในอนาคตตามเป้าหมายการลดมลพิษของประเทศ
บทความนี้จะทำการวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับนโยบาย EV 4.0 เพื่อตอบคำถามว่ารัฐจะอุดหนุน E-Bike เพิ่มหรือไม่ โดยพิจารณาจากมาตรการที่ผ่านมา ทิศทางปัจจุบันของรัฐบาล และปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อให้ผู้ที่สนใจยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อได้ข้อมูลที่ครบถ้วนสำหรับประกอบการตัดสินใจ
ภาพรวมของนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยได้เริ่มต้นและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศจากเครื่องยนต์สันดาปภายในไปสู่พลังงานไฟฟ้า เป้าหมายสูงสุดคือการก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicle – NEV Hub) ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดการปล่อยมลพิษและสร้างความยั่งยืนด้านพลังงาน แต่ยังเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในเวทีโลกอีกด้วย การเปลี่ยนผ่านนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ตั้งแต่ผู้ผลิตชิ้นส่วน ผู้ประกอบรถยนต์ ไปจนถึงผู้บริโภคที่กำลังมองหาทางเลือกในการเดินทางที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
ทบทวนมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5: ความสำเร็จและบทเรียน
ก่อนที่จะมองไปข้างหน้าถึง EV 4.0 การทำความเข้าใจมาตรการที่ผ่านมาอย่าง EV 3.0 และ EV 3.5 ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพความสำเร็จและข้อจำกัดที่เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการกำหนดทิศทางนโยบายในอนาคต
เป้าหมายหลักและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
มาตรการ EV 3.0 ซึ่งเริ่มใช้ในปี 2565 และตามด้วย EV 3.5 ในปี 2567 มีหัวใจสำคัญคือการกระตุ้นตลาดในระยะเริ่มต้น โดยใช้เครื่องมือหลักสองประการ ได้แก่ การให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและภาษีนำเข้า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง มาตรการดังกล่าวประสบความสำเร็จในการทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เข้าถึงได้ง่ายขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด นอกจากนี้ ยังสามารถดึงดูดการลงทุนจากค่ายรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ระดับโลก เช่น BYD และค่ายอื่นๆ ให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นจริง
ข้อจำกัดและความท้าทาย
แม้จะประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสความนิยม แต่มาตรการ EV 3.0 และ 3.5 ก็ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายอยู่หลายประการ ประการแรก การสนับสนุนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นหลัก ทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น เช่น รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ยังไม่ได้รับอานิสงส์โดยตรงมากนัก ประการที่สอง ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะสถานีอัดประจุไฟฟ้าสาธารณะที่ยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคจำนวนมาก และประการสุดท้าย คือความกังวลเกี่ยวกับกำลังซื้อภายในประเทศในระยะยาว หากมาตรการอุดหนุนสิ้นสุดลง บทเรียนเหล่านี้จึงเป็นโจทย์สำคัญที่รัฐบาลต้องนำไปพิจารณาในการออกแบบนโยบาย EV 4.0 ให้มีความครอบคลุมและยั่งยืนยิ่งขึ้น
เจาะลึกทิศทางนโยบาย EV 4.0: รัฐบาลมุ่งเน้นอะไร?
จากข้อมูลและการเรียกร้องของผู้ประกอบการรายใหญ่ นโยบาย EV 4.0 ถูกคาดหวังว่าจะเป็นการต่อยอดที่แข็งแกร่งและชัดเจนกว่าเดิม โดยมีทิศทางหลักที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมในระยะยาว แทนที่จะเป็นการกระตุ้นตลาดในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว
การสร้างความต่อเนื่องและความเชื่อมั่น
สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ EV 4.0 คือการสร้างความต่อเนื่องของนโยบาย เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ได้ตัดสินใจเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยแล้ว การขยายนโยบายหรือการออกมาตรการใหม่ที่เรียกว่า EV 4.0 หรือ EV 4.5 เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ารัฐบาลไทยมีความมุ่งมั่นจริงจังที่จะผลักดันเป้าหมายการเป็น NEV Hub ซึ่งจะทำให้นักลงทุนกล้าที่จะขยายการลงทุนในส่วนของโรงงานผลิตรถยนต์ แบตเตอรี่ และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ ความชัดเจนของนโยบายยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถวางแผนการซื้อได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องกังวลว่าสิทธิประโยชน์ต่างๆ จะสิ้นสุดลงอย่างกะทันหัน
การส่งเสริมชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)
หัวใจสำคัญอีกประการหนึ่งของ EV 4.0 คือการผลักดันให้เกิดการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) มากขึ้น จากข้อมูลของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้มีการกำหนดสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ เช่น 40% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และ 45% สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) การกำหนดเงื่อนไขนี้เป็นการบังคับทางอ้อมให้ผู้ผลิตต้องหันมาใช้ซัพพลายเออร์ในประเทศ หรือลงทุนตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำคัญเอง ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม ก่อให้เกิดการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในระยะยาว
| คุณสมบัติ | มาตรการ EV 3.0 / 3.5 | แนวโน้มที่คาดการณ์ใน EV 4.0 |
|---|---|---|
| ยานยนต์เป้าหมายหลัก | รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) | ยังคงเป็น BEV และ PHEV แต่อาจขยายครอบคลุมยานยนต์ประเภทอื่นในอนาคต |
| เงินอุดหนุนผู้บริโภค | ให้ความสำคัญสูง เพื่อกระตุ้นตลาดในระยะเริ่มต้น | อาจปรับลดลงหรือมีเงื่อนไขมากขึ้น โดยเน้นความยั่งยืนทางการคลัง |
| การส่งเสริมการผลิต (Local Content) | เป็นเงื่อนไขประกอบสำหรับผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการ | เป็นหัวใจสำคัญ มีการกำหนดสัดส่วนที่ชัดเจนและเข้มข้นขึ้น |
| การสนับสนุน E-Bike / สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า | ไม่มีการระบุมาตรการสนับสนุนโดยตรงอย่างชัดเจน | ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่มีโอกาสได้รับประโยชน์ในภาพรวม |
สถานะปัจจุบันของเงินอุดหนุน E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
เมื่อพิจารณาถึงยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อ คำถามที่หลายคนอยากรู้ที่สุดคือ นโยบาย EV 4.0 จะมีมาตรการอุดหนุนโดยตรงสำหรับ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าหรือไม่
ข้อเท็จจริงจากข้อมูลภาครัฐ
จากการตรวจสอบข้อมูลที่เผยแพร่โดยหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น BOI และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงข่าวสารในแวดวงธุรกิจ ณ ปัจจุบัน ยังไม่พบการประกาศอย่างเป็นทางการ ที่ระบุถึงมาตรการให้เงินอุดหนุน หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ออกแบบมาสำหรับ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะภายใต้นโยบาย EV 4.0 การสื่อสารและนโยบายที่ออกมายังคงมีจุดสนใจหลักอยู่ที่กลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าสี่ล้อ ซึ่งเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและส่งผลกระทบต่อโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์โดยรวมมากกว่า
เหตุผลที่นโยบายยังคงมุ่งเน้นรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก
เหตุผลที่นโยบายยังคงให้น้ำหนักกับรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า อาจมาจากหลายปัจจัย ประการแรก อุตสาหกรรมรถยนต์เป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ การรักษาฐานการผลิตและเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยีไฟฟ้าจึงมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์สูงสุด ประการที่สอง มูลค่าการลงทุนในการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์นั้นสูงกว่าการผลิต E-Bike มาก การให้สิทธิประโยชน์ที่จูงใจจึงจำเป็นเพื่อดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่เหล่านี้ ประการสุดท้าย การเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าส่งผลต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมได้มากกว่าเมื่อเทียบเป็นรายคัน อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่ายานยนต์ไฟฟ้าสองล้อจะถูกมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง
วิเคราะห์แนวโน้มและโอกาสที่ E-Bike จะได้รับการสนับสนุน
แม้จะยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีเหตุผลและแนวโน้มหลายประการที่ชี้ให้เห็นว่า E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีโอกาสที่จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในอนาคตอันใกล้
แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การขยายการสนับสนุนไปยังยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทถือเป็นก้าวต่อไปที่สมเหตุสมผลในการบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดและลดปัญหามลพิษในเมืองใหญ่ของประเทศ
ประการแรก คือเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่กว้างขึ้น การส่งเสริมให้คนหันมาใช้ E-Bike สำหรับการเดินทางในระยะใกล้หรือในเมือง สามารถช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และมลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น
ประการที่สอง คือการตอบโจทย์การเดินทางของคนเมือง (Urban Mobility) E-Bike เป็นพาหนะที่มีความคล่องตัวสูง ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และแก้ปัญหาการหาที่จอดรถได้ดี การสนับสนุนให้ E-Bike มีราคาถูกลง จะช่วยให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง สามารถเข้าถึงยานพาหนะไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายลดความเหลื่อมล้ำ
ประการสุดท้าย คือการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ประเทศไทยมีศักยภาพในการเป็นฐานการผลิต E-Bike และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง หากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน ก็อาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น สร้างงาน และพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ภายในประเทศ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่ E-Bike จะถูกรวมอยู่ในแผนการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม แม้อาจจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบของเงินอุดหนุนโดยตรงเหมือนรถยนต์ แต่อาจมาในรูปแบบของสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ผลิต หรือมาตรการส่งเสริมอื่นๆ
บทสรุปและคำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจ
โดยสรุป นโยบาย EV 4.0 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ยังคงมีทิศทางหลักในการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและผลักดันการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ เพื่อเป้าหมายการเป็นศูนย์กลางยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค สำหรับคำถามที่ว่ารัฐจะอุดหนุน E-Bike เพิ่มหรือไม่ คำตอบ ณ ขณะนี้คือ ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่แนวโน้มในอนาคตยังคงเปิดกว้าง และมีความเป็นไปได้ที่ยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อจะได้รับการสนับสนุนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านพลังงานสะอาดและการเดินทางที่ยั่งยืนของประเทศ
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในขณะนี้ การติดตามข่าวสารจากภาครัฐอย่างใกล้ชิดเป็นสิ่งสำคัญ แม้จะยังไม่มีเงินอุดหนุนโดยตรง แต่การเลือกใช้ยานพาหนะไฟฟ้าก็ยังคงมอบความคุ้มค่าในระยะยาว ทั้งในด้านการประหยัดค่าพลังงานและค่าบำรุงรักษา รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม
หากท่านกำลังมองหาทางเลือกในการเดินทางด้วยพลังงานสะอาด GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้งานสมัยใหม่ ด้วยผลิตภัณฑ์คุณภาพสูงและบริการที่น่าเชื่อถือ ท่านสามารถค้นหาพาหนะที่ใช่สำหรับไลฟ์สไตล์ของท่านได้แล้ววันนี้
เยี่ยมชมและรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือสอบถามผ่าน LINE และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์
