EV 3.5: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีสิทธิ์ได้เงินอุดหนุนหรือไม่?
มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า หรือ “EV 3.5” ได้กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะคำถามที่ว่า EV 3.5: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีสิทธิ์ได้เงินอุดหนุนหรือไม่? นโยบายดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้แพร่หลายยิ่งขึ้น แต่ผู้บริโภคจำนวนมากยังคงมีความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับขอบเขตของมาตรการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้า บทความนี้จะวิเคราะห์หลักเกณฑ์และเงื่อนไขของนโยบายอย่างละเอียด เพื่อให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิ์ในการรับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
- มาตรการ EV 3.5 เป็นนโยบายของรัฐบาลไทยที่มุ่งส่งเสริมการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ โดยมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ถึง 2570
- สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจัดอยู่ในหมวดหมู่ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
- เงื่อนไขหลักในการรับเงินอุดหนุน 10,000 บาทต่อคันสำหรับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า คือ ต้องมีราคาจำหน่ายไม่เกิน 150,000 บาท, มีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป และต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศไทย
- ผู้ผลิตที่ต้องการเข้าร่วมโครงการจะต้องลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) กับกรมสรรพสามิต และยานยนต์รุ่นนั้นๆ ต้องผ่านการตรวจสอบคุณสมบัติตามที่กำหนด
- นโยบายนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนผู้ซื้อ แต่ยังมุ่งเป้าไปที่การสร้างฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งในประเทศผ่านเงื่อนไขการผลิตชดเชยการนำเข้า
ภาพรวมของมาตรการ EV 3.5: นโยบายขับเคลื่อนอนาคตยานยนต์ไฟฟ้าไทย
มาตรการ EV 3.5 คือนโยบายภาครัฐที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยไปสู่ยุคของยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) อย่างเต็มรูปแบบ นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ พร้อมทั้งสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ จากการเป็นฐานการผลิต EV ที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน การทำความเข้าใจในภาพรวมของมาตรการนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม
ความสำคัญและเป้าหมายของนโยบาย
ความสำคัญหลักของมาตรการ EV 3.5 อยู่ที่การสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์และยั่งยืนในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนหลายประการ เป้าหมายแรกคือการกระตุ้นความต้องการในตลาด (Demand-Side) ผ่านการให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อทำให้ราคาของยานยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปภายในมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระของผู้บริโภคและจูงใจให้เกิดการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
เป้าหมายที่สองคือการส่งเสริมด้านอุปทาน (Supply-Side) โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการต้องมีการลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศ สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป แต่ยังก่อให้เกิดการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอีกด้วย เป้าหมายระยะยาวคือการผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค ซึ่งจะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว
กรอบเวลาและประเภทของยานยนต์ที่ครอบคลุม
มาตรการ EV 3.5 มีกรอบระยะเวลาดำเนินงานที่ชัดเจนเป็นเวลา 4 ปี คือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ไปจนถึงสิ้นสุดปี พ.ศ. 2570 กรอบเวลาดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาเพียงพอในการวางแผนการลงทุนและปรับเปลี่ยนสายการผลิต ขณะเดียวกันก็สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคว่าสิทธิประโยชน์ต่างๆ จะยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาดังกล่าว
นโยบายนี้ครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองต่อความต้องการใช้งานที่แตกต่างกันของผู้บริโภค โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่:
- รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Passenger Cars): รวมถึงรถยนต์นั่งส่วนบุคคลประเภทต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100%
- รถกระบะไฟฟ้า (Electric Pickup Trucks): เป็นการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มตลาดที่มีขนาดใหญ่และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
- รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycles): ซึ่งเป็นกลุ่มที่รวมถึงสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการเดินทางในเมืองและการใช้งานส่วนบุคคลทั่วไป
การครอบคลุมยานยนต์หลายประเภทสะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของภาครัฐที่จะผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในทุกภาคส่วนของการคมนาคม ไม่จำกัดอยู่เพียงแค่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเท่านั้น
EV 3.5: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีสิทธิ์ได้เงินอุดหนุนหรือไม่?
คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือสถานะของยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้าภายใต้มาตรการนี้ คำตอบที่ชัดเจนคือ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่เข้าข่ายตามคำนิยามและเงื่อนไขที่กำหนด มีสิทธิ์ ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหายานพาหนะไฟฟ้าสำหรับการเดินทางในระยะใกล้หรือในเมือง อย่างไรก็ตาม การจะได้รับสิทธิ์ดังกล่าวจำเป็นต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ อย่างถ่องแท้
การจำแนกประเภทสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในมาตรการ
ภายใต้มาตรการ EV 3.5 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไม่ได้ถูกระบุชื่อไว้โดยตรง แต่ถูกจัดรวมอยู่ในหมวดหมู่ที่กว้างกว่าคือ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งหมายถึงยานพาหนะสองล้อที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าและต้องมีการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ดังนั้น สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่สามารถจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์ได้ตามกฎหมาย จะถือว่าอยู่ในขอบเขตของมาตรการนี้ ในทางกลับกัน ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กอื่นๆ เช่น จักรยานไฟฟ้า (E-bike) ที่มีกำลังมอเตอร์ต่ำ หรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแบบพับได้ที่ไม่สามารถจดทะเบียนได้ จะไม่เข้าข่ายได้รับเงินอุดหนุนตามนโยบายนี้ การจำแนกประเภทนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพิจารณาสิทธิ์ของผู้ซื้อและผู้ขาย
เกณฑ์การพิจารณาเพื่อรับเงินอุดหนุน
เพื่อให้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ได้รับเงินอุดหนุนจำนวน 10,000 บาทต่อคัน ยานพาหนะรุ่นนั้นๆ จะต้องมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่ภาครัฐกำหนดไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งเกณฑ์เหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมทั้งการใช้งานและความปลอดภัย รวมถึงสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ
สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่จะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท ต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศ มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 150,000 บาท และติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีความจุตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป
นอกเหนือจากเงินอุดหนุนโดยตรงแล้ว ยานยนต์ที่เข้าเกณฑ์ยังได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมคือ การลดอัตราภาษีสรรพสามิตเหลือเพียง 1% ตลอดระยะเวลาของมาตรการ ซึ่งช่วยให้ต้นทุนของผู้ผลิตลดลงและส่งผลให้ราคาจำหน่ายสุดท้ายถึงมือผู้บริโภคถูกลงอีกด้วย
| คุณสมบัติ | เงื่อนไขที่กำหนด | สิทธิประโยชน์ |
|---|---|---|
| ราคาจำหน่ายปลีก | ต้องไม่เกิน 150,000 บาท | เงินอุดหนุน 10,000 บาทต่อคัน |
| ขนาดแบตเตอรี่ | ต้องมีความจุตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป | |
| แหล่งผลิต | ต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศไทย (Domestically Manufactured) | |
| สิทธิประโยชน์ทางภาษี | เป็นไปตามเงื่อนไขข้างต้นทั้งหมด | ลดอัตราภาษีสรรพสามิตเหลือ 1% |
เจาะลึกเงื่อนไขและกระบวนการสำหรับผู้ประกอบการ
การที่ผู้บริโภคจะได้รับสิทธิ์ซื้อสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในราคาที่ลดลงตามมาตรการ EV 3.5 นั้น มีกระบวนการเบื้องหลังที่เกี่ยวข้องกับผู้ผลิตและผู้ประกอบการโดยตรง เงินอุดหนุนไม่ได้ถูกมอบให้ผู้ซื้อโดยตรง แต่เป็นกลไกที่ทำงานผ่านผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการกับภาครัฐ ซึ่งมีขั้นตอนและเงื่อนไขที่ซับซ้อนกว่าที่เห็น
บทบาทของผู้ผลิตและการทำข้อตกลง (MOU)
ผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าที่ต้องการให้ยานยนต์ไฟฟ้าของตนเองได้รับสิทธิ์ตามมาตรการ EV 3.5 จะต้องเริ่มต้นด้วยการยื่นเอกสารและแสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการกับกรมสรรพสามิต จากนั้นจะต้องมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (Memorandum of Understanding: MOU) ซึ่งเปรียบเสมือนสัญญาที่ผู้ประกอบการให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขทั้งหมดที่ภาครัฐกำหนด
หลังจากลงนามใน MOU แล้ว ผู้ผลิตจะต้องนำรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นที่ต้องการจำหน่ายเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติ ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบข้อมูลจำเพาะทางเทคนิค เช่น ขนาดความจุของแบตเตอรี่, มาตรฐานความปลอดภัย และการยืนยันว่าเป็นรถที่ผลิตขึ้นในโรงงานภายในประเทศจริง เมื่อรถรุ่นดังกล่าวผ่านการอนุมัติแล้ว ผู้ผลิตจึงจะสามารถจำหน่ายรถรุ่นนั้นพร้อมกับส่วนลดจากเงินอุดหนุนของภาครัฐได้ กระบวนการนี้ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่ารถที่ซื้อนั้นได้มาตรฐานและได้รับสิทธิ์ตามที่ประกาศไว้จริง
นัยสำคัญของเงื่อนไขการผลิตชดเชย
หนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของมาตรการ EV 3.5 โดยเฉพาะสำหรับรถยนต์และรถกระบะ คือ “เงื่อนไขการผลิตชดเชย” (Production Offset) ซึ่งกำหนดให้ผู้ประกอบการที่นำรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU – Completely Built Up) เข้ามาจำหน่ายในช่วงแรกของมาตรการ จะต้องมีการตั้งโรงงานและผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเดียวกันหรือรุ่นอื่นเพื่อชดเชยในอัตราส่วนที่กำหนดภายในปี พ.ศ. 2569 หรือ 2570
แม้ว่าเงื่อนไขนี้จะเน้นไปที่รถยนต์เป็นหลัก แต่ก็สะท้อนถึงเจตนารมณ์ของนโยบายที่ต้องการส่งเสริมการลงทุนในระยะยาว สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เงื่อนไขได้กำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศเท่านั้นจึงจะได้รับเงินอุดหนุน ซึ่งเป็นการบังคับใช้หลักการส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศโดยตรง ต่างจากรถยนต์ที่ยังอนุญาตให้นำเข้าได้ในช่วงแรก เงื่อนไขนี้จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการผลิตสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศอย่างแท้จริง และป้องกันไม่ให้ตลาดถูกครอบงำด้วยสินค้านำเข้าเพียงอย่างเดียว
เปรียบเทียบเงินอุดหนุนระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ
เพื่อให้เห็นภาพรวมของมาตรการ EV 3.5 ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบวงเงินอุดหนุนและเงื่อนไขระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ จะช่วยให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงโครงสร้างและลำดับความสำคัญของนโยบายที่ภาครัฐต้องการส่งเสริม ซึ่งจะเห็นได้ว่าวงเงินอุดหนุนมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ขึ้นอยู่กับประเภทของรถ ขนาดแบตเตอรี่ และราคาจำหน่าย
โครงสร้างเงินอุดหนุนในภาพรวม
โครงสร้างเงินอุดหนุนถูกออกแบบมาให้สอดคล้องกับราคาและเทคโนโลยีของยานยนต์แต่ละประเภท ยานยนต์ที่มีราคาสูงกว่าและใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่กว่า เช่น รถยนต์ไฟฟ้า จะได้รับเงินอุดหนุนในวงเงินที่สูงกว่า เพื่อช่วยลดช่องว่างด้านราคากับรถยนต์สันดาป ในขณะที่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งมีราคาตั้งต้นต่ำกว่า จะได้รับเงินอุดหนุนในระดับที่เหมาะสมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานในวงกว้าง
| ประเภทของยานยนต์ไฟฟ้า | เงื่อนไขหลัก (ราคา / แบตเตอรี่) | วงเงินอุดหนุนต่อคัน |
|---|---|---|
| รถยนต์ไฟฟ้า | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท / แบตเตอรี่ ≥ 50 kWh | สูงสุด 100,000 บาท |
| รถยนต์ไฟฟ้า | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท / แบตเตอรี่ < 50 kWh | 50,000 บาท |
| รถกระบะไฟฟ้า | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท / แบตเตอรี่ ≥ 50 kWh (ผลิตในประเทศ) | 100,000 บาท |
| รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า) | ราคาไม่เกิน 150,000 บาท / แบตเตอรี่ ≥ 3 kWh (ผลิตในประเทศ) | 10,000 บาท |
จากตารางจะเห็นได้ว่า แม้วงเงินอุดหนุนสำหรับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจะอยู่ที่ 10,000 บาท ซึ่งน้อยกว่ารถยนต์ แต่เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนต่อราคาจำหน่ายแล้ว ถือเป็นส่วนลดที่มีนัยสำคัญและสามารถจูงใจผู้บริโภคในตลาดนี้ได้เป็นอย่างดี
ผลกระทบต่อตลาดและโอกาสสำหรับผู้บริโภค
มาตรการ EV 3.5 ไม่เพียงแต่เป็นนโยบายที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อกลไกตลาดและเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การสนับสนุนจากภาครัฐมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของตลาดสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แนวโน้มตลาดสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทย
คาดการณ์ว่ามาตรการนี้จะส่งผลให้ตลาดสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ประการแรก การอุดหนุนราคาจะทำให้สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศมีราคาที่แข่งขันได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งจะดึงดูดผู้บริโภคกลุ่มใหม่ๆ ที่เคยลังเลเนื่องจากปัจจัยด้านราคา ประการที่สอง เงื่อนไขที่บังคับให้ต้องผลิตในประเทศจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจากผู้ผลิตทั้งรายเดิมและรายใหม่ อาจมีการเกิดแบรนด์สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าสัญชาติไทยเพิ่มขึ้น หรือบริษัทต่างชาติอาจเข้ามาตั้งฐานการผลิตเพื่อใช้ประโยชน์จากสิทธิพิเศษนี้ ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันที่สูงขึ้น ตัวเลือกสินค้าที่หลากหลายขึ้น และนวัตกรรมใหม่ๆ ในตลาด
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่วางแผนซื้อ EV
สำหรับผู้บริโภคที่สนใจซื้อสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในช่วงเวลาของมาตรการ EV 3.5 เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุด ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
- ตรวจสอบรุ่นที่เข้าร่วมโครงการ: ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรสอบถามผู้จำหน่ายโดยตรงว่าสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นที่สนใจนั้น ได้รับการอนุมัติและเข้าร่วมในมาตรการ EV 3.5 หรือไม่ เพื่อให้แน่ใจว่าจะได้รับส่วนลด 10,000 บาทตามสิทธิ์
- พิจารณาคุณสมบัติทางเทคนิค: ตรวจสอบสเปกของแบตเตอรี่ว่ามีความจุตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไปตามเงื่อนไขหรือไม่ ซึ่งนอกจากจะเกี่ยวข้องกับสิทธิ์ในการรับเงินอุดหนุนแล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง
- มองหาสัญลักษณ์ “ผลิตในประเทศ”: การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไม่เพียงแต่ช่วยให้ได้รับสิทธิ์ตามมาตรการ แต่ยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจภายในประเทศอีกทางหนึ่ง
- เปรียบเทียบราคาหลังหักส่วนลด: ควรเปรียบเทียบราคาจำหน่ายสุทธิ (หลังจากหักเงินอุดหนุนแล้ว) จากหลายๆ ผู้จำหน่าย เพื่อให้ได้ข้อเสนอที่ดีที่สุด
บทสรุปและแนวทางสำหรับผู้สนใจ
โดยสรุปแล้ว คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า “EV 3.5: สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีสิทธิ์ได้เงินอุดหนุนหรือไม่?” คือ มีสิทธิ์อย่างแน่นอน หากสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นนั้นๆ มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนดไว้ทุกประการ ได้แก่ เป็นรถที่ผลิตในประเทศ, มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 150,000 บาท และมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป โดยผู้ซื้อจะได้รับเงินอุดหนุนเป็นส่วนลดในราคาซื้อขายทันทีจำนวน 10,000 บาทต่อคัน
มาตรการ EV 3.5 ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกในการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว การสนับสนุนจากภาครัฐทำให้การเป็นเจ้าของสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคุณภาพดีเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-bike ที่หลากหลายและตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้งาน GIANT Shopping Mall เป็นศูนย์รวมที่จำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ FACEBOOK PAGE, ติดต่อผ่าน LINE หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์โดยตรง
