กฎหมาย E-Bike 2568: ต้องมีทะเบียน? ต้องทำใบขับขี่ไหม?
- สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกฎหมาย E-Bike
- ทำความเข้าใจสถานะทางกฎหมายของจักรยานไฟฟ้าในปัจจุบัน
- การจดทะเบียนและใบขับขี่: ประเด็นสำคัญที่ต้องรู้
- ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อกฎหมาย E-Bike ในอนาคต
- ตารางเปรียบเทียบข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก
- ข้อควรปฏิบัติเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและถูกต้อง
- บทสรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้งาน
การใช้งานยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับข้อบังคับทางกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็น กฎหมาย E-Bike 2568: ต้องมีทะเบียน? ต้องทำใบขับขี่ไหม? ซึ่งเป็นข้อสงสัยหลักของผู้ใช้งานจำนวนมาก บทความนี้จะวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เพื่อให้ผู้ขับขี่เข้าใจข้อกำหนดเบื้องต้นและสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกฎหมาย E-Bike
- สถานะทางกฎหมายยังไม่ชัดเจน: ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ออกมาควบคุมจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ทำให้การบังคับใช้ขึ้นอยู่กับการตีความตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 เป็นหลัก
- กำลังมอเตอร์และความเร็วเป็นปัจจัยสำคัญ: ยานพาหนะที่เข้าข่ายเป็น “รถจักรยานยนต์” ตามกฎหมาย คือรถที่มีกำลังมอเตอร์และความเร็วเกินกว่าที่กำหนด ซึ่งอาจต้องจดทะเบียนและผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่
- แนวโน้มการกำกับดูแลในอนาคต: ประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยตามสากล ซึ่งอาจนำไปสู่การกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนขึ้นสำหรับ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้
- การตรวจสอบข้อมูลเป็นสิ่งจำเป็น: ผู้ใช้งานควรติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจากกรมการขนส่งทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากกฎหมายอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
- ความปลอดภัยต้องมาก่อน: ไม่ว่ากฎหมายจะกำหนดไว้อย่างไร ผู้ขับขี่ควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก เช่น การสวมหมวกนิรภัย และการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด
ทำความเข้าใจสถานะทางกฎหมายของจักรยานไฟฟ้าในปัจจุบัน
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าได้กลายเป็นทางเลือกในการเดินทางที่สำคัญสำหรับคนเมือง เนื่องจากความสะดวกสบาย ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างรวดเร็วของยานพาหนะประเภทนี้ได้สร้าง “พื้นที่สีเทา” ทางกฎหมายขึ้นในประเทศไทย คำถามที่ว่า กฎหมาย E-Bike 2568: ต้องมีทะเบียน? ต้องทำใบขับขี่ไหม? จึงสะท้อนถึงความกังวลและความต้องการความชัดเจนจากผู้ใช้งานและสังคมโดยรวม เพื่อให้การใช้งานบนท้องถนนเป็นไปอย่างปลอดภัยและเป็นระเบียบเรียบร้อย การทำความเข้าใจนิยามและสถานะปัจจุบันของยานพาหนะเหล่านี้จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญ
ปัจจุบัน การกำกับดูแลยังคงอ้างอิงกับกฎหมายเดิมที่มีอยู่ คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งถูกร่างขึ้นก่อนที่ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กจะเป็นที่แพร่หลาย ทำให้การตีความเพื่อบังคับใช้กับ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังคงเป็นประเด็นถกเถียงและขาดความชัดเจนในทางปฏิบัติ ผู้ใช้งานจึงควรศึกษาข้อมูลพื้นฐานเพื่อประเมินความเสี่ยงและปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายด้านความปลอดภัยให้ได้มากที่สุด
จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) คืออะไรตามนิยามกฎหมาย?
ในทางเทคนิค จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike คือจักรยานที่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อช่วยผ่อนแรงในการปั่น (Pedal-Assist) หรือบางรุ่นอาจมีคันเร่งสำหรับขับเคลื่อนโดยไม่ต้องปั่น (Throttle) จุดสำคัญที่ใช้จำแนกประเภทตามกฎหมายในหลายประเทศคือ “กำลังของมอเตอร์” และ “ความเร็วสูงสุด” ที่มอเตอร์สามารถช่วยขับเคลื่อนได้
สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่มีนิยามของ “จักรยานไฟฟ้า” แยกออกมาโดยเฉพาะ แต่กฎหมายได้นิยาม “รถจักรยานยนต์” ไว้ใน พ.ร.บ. รถยนต์ พ.ศ. 2522 ว่าหมายถึง “รถที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์หรือกำลังไฟฟ้าและมีล้อไม่เกินสองล้อ ถ้ามีพ่วงข้างมีล้อเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งล้อ” ดังนั้น หากจักรยานไฟฟ้ามีคุณสมบัติที่เข้าข่ายตามนิยามนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกำลังมอเตอร์สูงและทำความเร็วได้เทียบเท่ารถจักรยานยนต์ทั่วไป ก็อาจถูกตีความว่าเป็นรถจักรยานยนต์ที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเดียวกัน
โดยทั่วไป จักรยานไฟฟ้าที่มีลักษณะเป็นจักรยานที่ใช้การปั่นเป็นหลักและมีมอเตอร์ช่วยในระดับความเร็วต่ำ (ไม่เกิน 25 กม./ชม.) มักจะไม่ถูกนับเป็นรถจักรยานยนต์ แต่หากเป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวและมีความเร็วสูง อาจเข้าข่ายที่ต้องจดทะเบียน
ความแตกต่างระหว่างจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
แม้จะใช้พลังงานไฟฟ้าเหมือนกัน แต่จักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีความแตกต่างกันในเชิงโครงสร้างและการใช้งาน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตีความทางกฎหมายได้
- จักรยานไฟฟ้า (E-Bike): มีลักษณะพื้นฐานเหมือนจักรยานทั่วไป คือมีบันไดสำหรับปั่น โครงสร้างถูกออกแบบมาเพื่อการออกแรงปั่นร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า ผู้ขับขี่อยู่ในท่านั่ง การควบคุมคล้ายกับการขี่จักรยานปกติ ทำให้หลายคนมองว่าเป็นเพียง “จักรยาน” ที่มีตัวช่วยผ่อนแรง
- สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า (Electric Scooter): ไม่มีบันไดสำหรับปั่น ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้าจากคันเร่งเพียงอย่างเดียว ผู้ขับขี่อยู่ในท่ายืนบนแป้นวางเท้า โครงสร้างมีขนาดเล็กและพับเก็บได้ง่ายกว่า ด้วยเหตุนี้ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจึงมีแนวโน้มที่จะถูกมองว่าเป็น “ยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยกำลังไฟฟ้า” ที่ใกล้เคียงกับรถจักรยานยนต์มากกว่า และอาจมีโอกาสเข้าข่ายต้องจดทะเบียนหากมีสมรรถนะสูง
ความแตกต่างนี้มีความสำคัญ เพราะหน่วยงานภาครัฐอาจพิจารณาออกกฎระเบียบที่แตกต่างกันสำหรับยานพาหนะทั้งสองประเภทในอนาคต โดยอิงจากลักษณะการใช้งานและความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ต่างกัน
การจดทะเบียนและใบขับขี่: ประเด็นสำคัญที่ต้องรู้
หัวใจของข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมาย E-Bike อยู่ที่สองประเด็นหลัก คือ การจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และความจำเป็นในการมีใบอนุญาตขับขี่ ซึ่งทั้งสองเรื่องนี้เชื่อมโยงโดยตรงกับการตีความว่ายานพาหนะดังกล่าวเป็น “รถ” ตามความหมายของ พ.ร.บ. รถยนต์ หรือไม่
จักรยานไฟฟ้าต้องจดทะเบียนหรือไม่?
คำตอบสำหรับคำถามนี้ขึ้นอยู่กับ “ประเภท” ของจักรยานไฟฟ้าเป็นสำคัญ
- กรณีที่ไม่น่าจะต้องจดทะเบียน: จักรยานไฟฟ้าประเภทช่วยปั่น (Pedal-Assist) ที่มีกำลังมอเตอร์ไม่สูง และความเร็วสูงสุดที่มอเตอร์ช่วยทำงานถูกจำกัดไว้ไม่เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยทั่วไปมักถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับจักรยานธรรมดา และไม่เข้าข่ายเป็นรถที่ต้องจดทะเบียนตามกฎหมายปัจจุบัน
- กรณีที่อาจต้องจดทะเบียน: จักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังมอเตอร์สูง สามารถทำความเร็วได้เกิน 25-30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และสามารถขับเคลื่อนได้โดยไม่ต้องปั่น (ใช้คันเร่ง) อาจถูกตีความว่าเป็น “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งตามกฎหมายแล้ว รถจักรยานยนต์ทุกประเภทที่นำมาใช้งานบนถนนสาธารณะจะต้องผ่านการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก เพื่อให้ได้แผ่นป้ายทะเบียนและเสียภาษีประจำปี
ณ ปี 2568 ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการที่ระบุคุณสมบัติของ E-Bike ที่ต้องจดทะเบียนอย่างชัดเจน ดังนั้น การใช้งานบนทางสาธารณะยังคงมีความเสี่ยงที่จะถูกเจ้าหน้าที่เรียกตรวจสอบและพิจารณาเป็นรายกรณีไป
จำเป็นต้องมีใบขับขี่สำหรับจักรยานไฟฟ้าหรือไม่?
ความจำเป็นในการมีใบขับขี่นั้นสอดคล้องโดยตรงกับสถานะการจดทะเบียนของรถ หากยานพาหนะไฟฟ้าคันใดเข้าข่ายต้องจดทะเบียนเป็นรถจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่ก็จำเป็นต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคลด้วย
- หาก E-Bike ถูกจัดเป็น “จักรยาน”: ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องมีใบขับขี่ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎจราจรสำหรับผู้ขับขี่จักรยาน
- หาก E-Bike ถูกจัดเป็น “รถจักรยานยนต์”: ผู้ขับขี่จะต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ยังไม่หมดอายุ การขับขี่โดยไม่มีใบอนุญาตถือเป็นความผิดตามกฎหมายจราจรทางบก มีโทษทั้งจำคุกและปรับ
สำหรับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่มีความเร็วสูง ประเด็นเรื่องใบขับขี่ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากลักษณะการใช้งานบนท้องถนนไม่ต่างจากรถจักรยานยนต์ขนาดเล็ก ทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด
พ.ร.บ. และการประกันภัย: จำเป็นสำหรับ E-Bike หรือไม่?
การประกันภัยภาคบังคับ หรือ พ.ร.บ. (พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) เป็นข้อบังคับสำหรับรถทุกคันที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก ดังนั้น หาก E-Bike หรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันใดต้องจดทะเบียน ก็จำเป็นต้องจัดทำ พ.ร.บ. ด้วยเช่นกัน เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกที่อาจได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถคันดังกล่าว
ในกรณีของ E-Bike ที่ไม่เข้าข่ายต้องจดทะเบียน ก็จะไม่ถูกบังคับให้ทำ พ.ร.บ. อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานควรพิจารณาทำประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) เพิ่มเติม เพื่อสร้างความคุ้มครองให้แก่ตนเองในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อกฎหมาย E-Bike ในอนาคต
แม้ปัจจุบันสถานการณ์จะยังคลุมเครือ แต่มีแนวโน้มว่าประเทศไทยจะมีการออกกฎหมายหรือระเบียบข้อบังคับที่ชัดเจนขึ้นสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กในอนาคต โดยมีปัจจัยชี้นำที่สำคัญหลายประการ
กำลังมอเตอร์และความเร็วสูงสุด
นี่คือเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานสากลและมีแนวโน้มสูงที่สุดที่จะถูกนำมาใช้ในกฎหมายไทย เพื่อจำแนกประเภทของ E-Bike ออกจากรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างชัดเจน โดยอาจมีการกำหนดค่าตัวเลขที่แน่นอน เช่น:
- กำลังมอเตอร์: อาจกำหนดว่ายานพาหนะที่มีกำลังมอเตอร์ไม่เกิน 250-500 วัตต์ จะถูกจัดเป็นจักรยานไฟฟ้า
- ความเร็วสูงสุด: อาจมีการจำกัดความเร็วที่มอเตอร์ช่วยทำงานไว้ไม่เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง หากเกินกว่านี้จะถือว่าเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
การกำหนดเกณฑ์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า และผู้บริโภคมีความชัดเจนในการเลือกซื้อและใช้งานผลิตภัณฑ์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย
มาตรฐานความปลอดภัยสากลและแนวโน้มทั่วโลก
ปัจจุบัน กรมการขนส่งทางบกของไทยกำลังดำเนินการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าให้เทียบเท่ากับข้อกำหนดของสหประชาชาติ (UN Regulation) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าภาครัฐให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของยานพาหนะไฟฟ้าอย่างจริงจัง แนวทางนี้อาจขยายผลมาสู่การกำหนดมาตรฐานสำหรับ E-Bike ด้วย เช่น ข้อกำหนดด้านระบบเบรก, ไฟส่องสว่าง, สัญญาณไฟ และความแข็งแรงของโครงสร้าง เพื่อให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายในประเทศมีคุณภาพและปลอดภัยต่อการใช้งาน
กรณีศึกษาจากต่างประเทศ: สหรัฐอเมริกาและจีน
กฎหมายในต่างประเทศเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจมีอิทธิพลต่อทิศทางของกฎหมายไทย
- สหรัฐอเมริกา: หลายรัฐในสหรัฐฯ ใช้ระบบจำแนก E-Bike ออกเป็น 3 คลาส (Class 1, 2, 3) โดยอิงตามความเร็วสูงสุดและลักษณะการทำงานของมอเตอร์ (ช่วยปั่นหรือใช้คันเร่ง) โดยทั่วไป E-Bike คลาส 1 และ 2 ซึ่งมีความเร็วไม่เกิน 20-28 ไมล์ต่อชั่วโมง (ประมาณ 32-45 กม./ชม.) มักจะไม่ต้องใช้ใบขับขี่หรือจดทะเบียน ทำให้สามารถใช้งานได้เหมือนจักรยานทั่วไป
- จีน: ซึ่งเป็นตลาด E-Bike ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้มีการบังคับใช้มาตรฐานความปลอดภัยใหม่ที่เข้มงวดขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป โดยกำหนดให้จักรยานไฟฟ้าต้องมีความเร็วสูงสุดไม่เกิน 25 กม./ชม. และอาจต้องติดตั้งระบบ GPS เพื่อตรวจสอบและควบคุมความปลอดภัย ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการกำกับดูแลอย่างเป็นระบบมากขึ้น
แนวทางจากประเทศเหล่านี้อาจเป็นต้นแบบให้หน่วยงานของไทยนำมาปรับใช้เพื่อสร้างกรอบกฎหมายที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศต่อไป
ตารางเปรียบเทียบข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก
| ประเภทยานพาหนะ (ตามสมมติฐาน) | ต้องมีใบขับขี่หรือไม่? | ต้องจดทะเบียนหรือไม่? | ต้องทำ พ.ร.บ. หรือไม่? |
|---|---|---|---|
| จักรยานไฟฟ้าช่วยปั่น (ความเร็วไม่เกิน 25 กม./ชม.) | ไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น |
| สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า/E-Bike ความเร็วสูง (เกิน 30 กม./ชม.) | มีแนวโน้มสูงว่าจำเป็น | มีแนวโน้มสูงว่าจำเป็น | มีแนวโน้มสูงว่าจำเป็น |
| รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า | จำเป็น | จำเป็น | จำเป็น |
ข้อควรปฏิบัติเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัยและถูกต้อง
ในระหว่างที่รอกฎหมายมีความชัดเจน ผู้ใช้งาน E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าควรยึดหลักปฏิบัติต่อไปนี้ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ตนเองและผู้ร่วมใช้ทาง
การตรวจสอบข้อมูลล่าสุดกับหน่วยงานภาครัฐ
สิ่งสำคัญที่สุดคือการติดตามข่าวสารและประกาศจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง นั่นคือ กรมการขนส่งทางบก ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการจะมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือที่สุด และจะช่วยให้ผู้ใช้งานปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบใหม่ๆ ที่อาจประกาศใช้ในอนาคตได้อย่างทันท่วงที การสอบถามข้อมูลโดยตรงกับสำนักงานขนส่งในพื้นที่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่สามารถทำได้
การเลือกซื้อ E-Bike ที่สอดคล้องกับมาตรฐาน
ก่อนตัดสินใจซื้อ E-Bike หรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ควรพิจารณาเลือกรุ่นที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับแนวโน้มของกฎหมาย เช่น เลือกรุ่นที่มีความเร็วไม่สูงจนเกินไป มีระบบความปลอดภัยพื้นฐานครบถ้วน เช่น ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพ ไฟหน้า-ไฟท้าย และควรเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือ สามารถให้ข้อมูลทางเทคนิคและบริการหลังการขายที่ดีได้ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐานตั้งแต่ต้นจะช่วยลดปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต หากมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวดขึ้น
บทสรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้งาน
โดยสรุปแล้ว สำหรับคำถามที่ว่า กฎหมาย E-Bike 2568: ต้องมีทะเบียน? ต้องทำใบขับขี่ไหม? คำตอบ ณ ขณะนี้คือยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนจากภาครัฐอย่างเป็นทางการ การบังคับใช้กฎหมายยังคงอยู่ใน “พื้นที่สีเทา” ซึ่งขึ้นอยู่กับการตีความคุณสมบัติของยานพาหนะเป็นสำคัญ โดยมีปัจจัยด้านกำลังมอเตอร์และความเร็วสูงสุดเป็นตัวชี้วัดหลัก
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคตบ่งชี้ว่าประเทศไทยจะมีการออกกฎระเบียบที่ชัดเจนขึ้นเพื่อควบคุมการใช้งานยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กให้เป็นระบบและปลอดภัยตามมาตรฐานสากล ผู้ใช้งานจึงควรขับขี่ด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด สวมใส่อุปกรณ์ป้องกัน และที่สำคัญคือต้องติดตามข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถใช้งานยานพาหนะคู่ใจได้อย่างถูกต้อง สบายใจ และปลอดภัยบนท้องถนน
สำหรับผู้ที่สนใจจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-bike ประเภทต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ สามารถค้นหาผลิตภัณฑ์คุณภาพและรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญได้ที่ GIANT Shopping Mall ศูนย์รวมจำหน่ายจักรยานไฟฟ้าที่ครบวงจร
ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือ LINE และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านเว็บไซต์โดยตรง
