ส่องมาตรการรัฐ 2569: ดัน E-Bike ไทยโตแค่ไหน?
ในปี 2569 ทิศทางของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังคงเป็นที่จับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลไทยได้แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค ผ่านนโยบายและมาตรการสนับสนุนต่างๆ ที่มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- การปรับลดเงินอุดหนุน: ในปี 2569 เงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะถูกปรับลดลงจากเดิม 18,000 บาท เหลือ 10,000 บาทต่อคัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคและกลยุทธ์ด้านราคาของผู้ผลิต
- มาตรการส่งเสริมรอบด้าน: แม้เงินอุดหนุนจะลดลง แต่รัฐบาลยังคงมีมาตรการอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า เช่น การช่วยเหลือกลุ่มผู้ขับขี่ (ไรเดอร์) การส่งเสริมการผลิตเพื่อส่งออก และการขยายกรอบเวลาจดทะเบียน
- เงื่อนไขสำหรับผู้ผลิตเข้มข้นขึ้น: ผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการ EV3.5 ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการผลิตชดเชยการนำเข้าในอัตราส่วน 1:3 ภายในปี 2570 เพื่อกระตุ้นการลงทุนและการจ้างงานในประเทศ
- เป้าหมายการเติบโตยังคงชัดเจน: รัฐบาลยังคงยึดมั่นในเป้าหมาย 30@30 ที่ต้องการให้ยานยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วน 30% ของยอดการผลิตทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งเป็นแรงผลักดันสำคัญให้อุตสาหกรรมเติบโตต่อไป
บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกเพื่อส่องมาตรการรัฐ 2569: ดัน E-Bike ไทยโตแค่ไหน? โดยจะพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงของนโยบายต่างๆ ทั้งเงินอุดหนุน ข้อบังคับสำหรับผู้ผลิต และมาตรการเสริมอื่นๆ เพื่อประเมินผลกระทบต่อทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้บริโภค ผู้ผลิต ไปจนถึงภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในอนาคต การทำความเข้าใจในรายละเอียดของมาตรการเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้นถึงทิศทางการเติบโตของตลาด E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทย ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน
ภาพรวมนโยบาย EV ปี 2569 และความสำคัญต่อตลาดจักรยานไฟฟ้าไทย
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทยในปี 2569 ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนผ่านและการปรับตัว โดยยังคงอยู่ภายใต้กรอบนโยบายหลัก “30@30” ซึ่งมีเป้าหมายในการผลักดันให้ประเทศไทยผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 มาตรการ EV3.5 ที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2567 และต่อเนื่องมาถึงปี 2569 คือกลไกสำคัญที่รัฐบาลใช้ในการขับเคลื่อนเป้าหมายดังกล่าว
ความสำคัญของนโยบายเหล่านี้ต่อตลาดจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นกลุ่มยานยนต์ที่เข้าถึงง่ายสำหรับผู้บริโภคทั่วไปและเป็นกำลังสำคัญในภาคบริการขนส่งเดลิเวอรี่ การเปลี่ยนแปลงของมาตรการในปี 2569 จึงส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อ E-Bike, ผู้ประกอบอาชีพขับขี่ (ไรเดอร์) ที่ใช้จักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นเครื่องมือทำมาหากิน และผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาลงทุนในตลาดไทย ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงรายละเอียดและทิศทางของนโยบายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกฝ่ายในการวางแผนและปรับตัวให้สอดคล้องกับภูมิทัศน์ของอุตสาหกรรมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
เจาะลึกมาตรการสนับสนุนทางการเงิน: เงินอุดหนุน EV 2569
หนึ่งในมาตรการที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือการสนับสนุนด้านการเงิน ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนโดยตรงแก่ผู้ซื้อและมาตรการช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม ซึ่งในปี 2569 นี้มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดที่น่าสนใจ
การเปลี่ยนแปลงเงินอุดหนุนสำหรับ E-Bike
ตามข้อมูลจากผู้ผลิตในอุตสาหกรรม มาตรการสนับสนุนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2569 จะมีการปรับลดวงเงินอุดหนุนลง โดยจากเดิมที่เคยให้การสนับสนุนสูงสุด 18,000 บาทต่อคันในมาตรการก่อนหน้า จะปรับลดลงเหลือ 10,000 บาทต่อคัน การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปตามกรอบของมาตรการ EV3.5 ที่ออกแบบมาเพื่อค่อยๆ ลดการพึ่งพิงเงินอุดหนุนจากภาครัฐและปล่อยให้กลไกตลาดทำงานมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขพื้นฐานสำหรับ E-Bike ที่จะได้รับสิทธิ์ยังคงเดิม คือต้องเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาจำหน่ายไม่เกิน 150,000 บาท และมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป การปรับลดเงินอุดหนุนนี้ย่อมส่งผลให้ผู้ผลิตต้องพิจารณากลยุทธ์ด้านราคาและการตลาดใหม่ อาจมีการปรับราคาจำหน่ายขึ้นเล็กน้อย หรือนำเสนอโปรโมชันและบริการเสริมอื่นๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและจูงใจผู้บริโภคต่อไป
มาตรการช่วยเหลือพิเศษสำหรับกลุ่มไรเดอร์
นอกเหนือจากเงินอุดหนุนทั่วไป รัฐบาลยังเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้ประกอบอาชีพขับขี่บนแพลตฟอร์มดิจิทัล (ไรเดอร์) ซึ่งเป็นผู้ใช้งาน E-Bike กลุ่มใหญ่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ได้ประกาศมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมสำหรับกลุ่มนี้โดยเฉพาะ ซึ่งมีผลในช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 มาตรการดังกล่าวประกอบด้วย:
- เงินสนับสนุนพิเศษ: มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 5,000 – 20,000 บาทต่อคน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ และช่วยลดภาระในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า
- การขยายขนาดเครื่องยนต์: ปรับปรุงกฎระเบียบให้รถจักรยานยนต์สาธารณะสามารถใช้รถที่มีขนาดซีซีสูงกว่า 125 ซีซีได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสมรรถนะของรถที่ใช้งานจริงในปัจจุบัน
- การกำกับดูแลแพลตฟอร์ม: เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบและดำเนินการกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มที่ปล่อยให้มีรถที่ผิดกฎหมายมาวิ่งให้บริการ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและมาตรฐานในอุตสาหกรรม
มาตรการเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าภาครัฐไม่ได้มุ่งเน้นเพียงการเพิ่มจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม แต่ยังใส่ใจถึงผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจดิจิทัล
เงื่อนไขและข้อบังคับสำหรับผู้ผลิตและผู้นำเข้า
เพื่อให้เป้าหมายการเป็นฐานการผลิต EV บรรลุผล มาตรการ EV3.5 ได้กำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับผู้ผลิตและผู้นำเข้าที่ต้องการรับสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
กฎการผลิตชดเชยการนำเข้า (EV3.5)
หัวใจสำคัญของมาตรการ EV3.5 คือเงื่อนไขการผลิตชดเชย โดยผู้ผลิตที่นำเข้ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) มาจำหน่ายในปี 2567-2568 จะต้องทำการผลิตเพื่อชดเชยในอัตราส่วน 1:3 หมายความว่า หากนำเข้ามา 1 คัน จะต้องผลิตในประเทศชดเชย 3 คันภายในปี พ.ศ. 2570 กฎเกณฑ์นี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี สร้างโรงงานผลิต และก่อให้เกิดการจ้างงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในระยะยาว แทนที่จะเป็นเพียงตลาดสำหรับการนำเข้าและจำหน่ายเท่านั้น
สิทธิประโยชน์ด้านการส่งออก
เพื่อส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออก E-Bike คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ได้ปรับเกณฑ์เพื่อจูงใจผู้ผลิตมากขึ้น โดยกำหนดให้ผู้ผลิตที่ทำการผลิตเพื่อส่งออก จะได้รับสิทธิ์ในการนับยอดการผลิตชดเชยเป็น 1.5 เท่า ของจำนวนที่ส่งออกจริง ตัวอย่างเช่น หากผู้ผลิตส่งออก E-Bike จำนวน 100 คัน จะสามารถนับเป็นยอดผลิตชดเชยได้ถึง 150 คัน ซึ่งช่วยลดภาระและสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการพิจารณาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนตลาดโลก
การขยายระยะเวลาการจดทะเบียน
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภค บอร์ดอีวีได้มีมติขยายกรอบเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศภายใต้มาตรการต่างๆ ออกไปอีก 1 เดือน โดยยานยนต์ภายใต้มาตรการ EV3 จะต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2569 และยานยนต์ภายใต้มาตรการ EV3.5 จะต้องจดทะเบียนภายในวันที่ 31 มกราคม 2571 การขยายเวลานี้ช่วยให้ทุกฝ่ายมีเวลาในการดำเนินการมากขึ้น และลดปัญหาคอขวดที่อาจเกิดขึ้นในช่วงสิ้นสุดโครงการ
| มาตรการ | รายละเอียด | กลุ่มเป้าหมายหลัก |
|---|---|---|
| เงินอุดหนุนผู้ซื้อ (EV3.5) | ปรับลดเงินอุดหนุนเหลือ 10,000 บาท/คัน สำหรับ E-Bike ราคาไม่เกิน 150,000 บาท และแบตเตอรี่ >= 3 kWh | ผู้บริโภคทั่วไป |
| เงื่อนไขการผลิตชดเชย | ผู้นำเข้าต้องผลิตชดเชยในอัตราส่วน 1:3 ภายในปี 2570 | ผู้ผลิตและผู้นำเข้า |
| สิทธิประโยชน์การส่งออก | การผลิตเพื่อส่งออกสามารถนับยอดชดเชยได้ 1.5 เท่า | ผู้ผลิตที่เน้นการส่งออก |
| มาตรการช่วยเหลือไรเดอร์ | เงินสนับสนุนพิเศษ 5,000 – 20,000 บาท/คน และขยายเกณฑ์ขนาดซีซีรถ | ผู้ขับขี่บนแพลตฟอร์ม |
| การขยายเวลาจดทะเบียน | ขยายเวลาจดทะเบียนสำหรับรถที่ผลิตในประเทศออกไปอีก 1 เดือน | ผู้ผลิตและผู้บริโภค |
ผลกระทบและแนวโน้มอนาคต EV ไทย
การเปลี่ยนแปลงมาตรการในปี 2569 ย่อมส่งผลกระทบต่อตลาดในหลายมิติ ทั้งในฝั่งอุปสงค์จากผู้บริโภคและฝั่งอุปทานจากผู้ผลิต ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางและแนวโน้มของตลาด E-Bike ในประเทศไทยต่อไป
ผลกระทบต่อผู้บริโภค
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดสำหรับผู้บริโภคคือราคาจำหน่าย E-Bike ที่อาจปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการลดลงของเงินอุดหนุนจากภาครัฐ อย่างไรก็ตาม ราคาที่เพิ่มขึ้นอาจไม่สูงมากนัก เนื่องจากผู้ผลิตหลายรายอาจยอมแบกรับต้นทุนบางส่วนไว้เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาด ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริโภคยังคงได้รับประโยชน์จากมาตรการด้านภาษี เช่น อัตราภาษีสรรพสามิตที่ต่ำสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้ราคาสุดท้ายยังคงน่าดึงดูดใจเมื่อเทียบกับรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ดังนั้น แม้แรงจูงใจด้านราคาอาจลดลงบ้าง แต่ปัจจัยด้านการประหยัดค่าพลังงานในระยะยาวและกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อมจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจ E-Bike อย่างต่อเนื่อง
ผลกระทบต่อผู้ผลิตและตลาดโดยรวม
สำหรับผู้ผลิต การปรับตัวเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้ที่เน้นการนำเข้าจะต้องวางแผนการผลิตในประเทศอย่างจริงจังเพื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขการชดเชย ขณะที่ผู้ผลิตในประเทศอยู่แล้วจะมีโอกาสในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน มาตรการส่งเสริมการส่งออกยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตที่มีศักยภาพในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ
ในภาพรวม แม้เงินอุดหนุนจะลดลง แต่ตลาดยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากสถิติยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 ที่เติบโตขึ้นถึง 52% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมีจำนวนรถที่เข้าร่วมมาตรการ EV3 และ EV3.5 รวมกว่า 34,559 คัน ซึ่งบ่งชี้ถึงความต้องการของตลาดที่แข็งแกร่ง
เป้าหมายระยะยาวของรัฐบาลยังคงชัดเจน นั่นคือการผลักดันให้ยานยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วน 30% ของยอดขายรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้อุตสาหกรรม E-Bike และระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง เช่น สถานีชาร์จ และอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ เติบโตควบคู่กันไปอย่างยั่งยืน
บทสรุป: ทิศทางตลาด E-Bike ไทยในปี 2569 และก้าวต่อไป
โดยสรุป มาตรการรัฐปี 2569 สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นการปรับสมดุลระหว่างการกระตุ้นตลาดในระยะสั้นกับการสร้างความยั่งยืนของอุตสาหกรรมในระยะยาว การปรับลดเงินอุดหนุนอาจทำให้การเติบโตของตลาดชะลอตัวลงเล็กน้อยในช่วงแรก แต่มาตรการอื่นๆ ที่มุ่งเน้นการส่งเสริมการผลิตในประเทศ การช่วยเหลือกลุ่มผู้ใช้งานหลัก และการสนับสนุนการส่งออก จะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ตลาด E-Bike ไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและแข็งแกร่ง อนาคต EV ไทยยังคงสดใส โดยมีภาครัฐเป็นผู้กำหนดทิศทางและมีผู้ประกอบการเป็นผู้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และได้รับประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าคุณภาพหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ สามารถเข้ามาเลือกชมสินค้าและรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้แล้ววันนี้ หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทาง FACEBOOK PAGE หรือ LINE เพื่อเตรียมพร้อมรับความคุ้มค่าก่อนใคร
