รัฐหนุน EV! E-Bike ได้อานิสงส์ไหม? วิเคราะห์นโยบายล่าสุด
ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด รัฐบาลไทยได้ออกมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างต่อเนื่อง คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในหมู่ผู้บริโภคคือ รัฐหนุน EV! E-Bike ได้อานิสงส์ไหม? วิเคราะห์นโยบายล่าสุด เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่ายานพาหนะไฟฟ้าสองล้อขนาดเล็ก เช่น จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า อยู่ในขอบเขตการสนับสนุนของภาครัฐหรือไม่ บทความนี้จะวิเคราะห์รายละเอียดของมาตรการต่างๆ ที่ประกาศใช้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อยานพาหนะไฟฟ้าส่วนบุคคล
ประเด็นสำคัญจากนโยบาย EV ล่าสุด
- นโยบายมุ่งเน้นรถยนต์ไฟฟ้า (BEV): มาตรการสนับสนุนหลักในปัจจุบัน เช่น EV3 และ EV3.5 ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เป็นเป้าหมายหลัก
- E-Bike ยังไม่ได้รับอานิสงส์โดยตรง: จากข้อมูลนโยบายที่ประกาศออกมา ไม่พบการระบุถึงการให้เงินอุดหนุน หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยตรงแก่ผู้ซื้อจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
- ความสำเร็จในการกระตุ้นตลาดรถยนต์ BEV: มาตรการของรัฐบาลส่งผลให้ยอดจดทะเบียนรถยนต์ BEV ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 เติบโตขึ้นถึง 59% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
- เป้าหมายระยะยาวที่ชัดเจน: รัฐบาลตั้งเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ผ่านนโยบาย 30@30 คือการผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (ZEV) ให้ได้ 30% ของการผลิตในประเทศภายในปี 2573
- ผู้บริโภคควรติดตามข้อมูล: แม้ปัจจุบันยังไม่มีมาตรการสำหรับ E-Bike แต่การเติบโตของระบบนิเวศ EV อาจส่งผลดีในอนาคต ผู้ที่สนใจจึงควรติดตามประกาศจากภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
ภาพรวมนโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของไทย
รัฐบาลไทยแสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการผลักดันประเทศไทยให้เป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค ผ่านการออกมาตรการส่งเสริมทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานอย่างต่อเนื่อง นโยบายเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นการลงทุนจากผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของโลก สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภคหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และที่สำคัญคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
ความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ EV
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงกระแสนิยม แต่เป็นยุทธศาสตร์ชาติที่มีความสำคัญในหลายมิติ ประการแรกคือด้านสิ่งแวดล้อม การลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงช่วยลดการปล่อยมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะโลกร้อน ประการที่สองคือด้านเศรษฐกิจ การเป็นฐานการผลิต EV จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สร้างงาน และดึงดูดเทคโนโลยีขั้นสูงเข้ามาในประเทศ และประการสุดท้ายคือด้านพลังงาน การส่งเสริม EV ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันดิบและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศในระยะยาว
กลุ่มเป้าหมายหลักของนโยบาย
เมื่อพิจารณารายละเอียดของมาตรการต่างๆ ที่ประกาศใช้ โดยเฉพาะมาตรการ EV3 และ EV3.5 จะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายหลักที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริมอย่างชัดเจนคือ ผู้ผลิตและผู้บริโภครถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ซึ่งเป็นยานพาหนะ 4 ล้อเป็นหลัก การสนับสนุนประกอบด้วยการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อ การลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์ที่นำเข้าและผลิตในประเทศ โดยมีเงื่อนไขผูกพันให้ผู้ผลิตต้องตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อชดเชยการนำเข้าในระยะต่อไป ซึ่งทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าเป้าหมายเชิงนโยบายในปัจจุบันให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ขนาดใหญ่เป็นอันดับแรก
เจาะลึกมาตรการ EV3 และ EV3.5 ฉบับปรับปรุง
เพื่อรักษาแรงส่งและปรับนโยบายให้ทันต่อสถานการณ์ตลาดโลก คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ได้อนุมัติการปรับปรุงมาตรการ EV3 และ EV3.5 ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 โดยมีสาระสำคัญเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผู้ประกอบการและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
การปรับปรุงเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในอุตสาหกรรม
การปรับปรุงเงื่อนไขในมาตรการล่าสุดมุ่งเน้นการอำนวยความสะดวกและลดอุปสรรคให้แก่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ประเด็นสำคัญคือการขยายระยะเวลาการจดทะเบียนยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ จากเดิมที่กำหนดเส้นตายไว้ในเดือนธันวาคมของปี 2568 และ 2570 ถูกปรับให้สามารถดำเนินการได้ภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยแก้ปัญหารถยนต์ที่จำหน่ายในช่วงปลายปีไม่สามารถจดทะเบียนได้ทันเวลา นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มทางเลือกให้ผู้ประกอบการที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาแล้ว สามารถออกจากมาตรการได้โดยการจ่ายคืนส่วนต่างภาษีสรรพสามิตพร้อมเบี้ยปรับ ซึ่งเป็นการสร้างความคล่องตัวในการบริหารจัดการสต็อกสินค้า
มาตรการป้องกันอุปทานล้นตลาด
อีกหนึ่งเป้าหมายของการปรับปรุงนโยบายคือการป้องกันภาวะอุปทานล้นตลาด (Oversupply) และส่งเสริมให้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อการส่งออก รัฐบาลได้ปรับเงื่อนไขการนับจำนวนการผลิตชดเชย โดยกำหนดให้การส่งออกรถยนต์ไฟฟ้า 1 คัน สามารถนับเป็นการผลิตชดเชยได้ถึง 1.5 คัน ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญให้ผู้ผลิตหันมาให้ความสำคัญกับตลาดส่งออกมากขึ้น ควบคู่ไปกับการขยายเวลาให้สามารถส่งหลักฐานการส่งออกได้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายนของปีถัดไป เพื่อให้กระบวนการส่งออกและดำเนินการทางเอกสารเป็นไปอย่างราบรื่น
ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นจากนโยบาย
มาตรการสนับสนุนของภาครัฐได้ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อตลาดอย่างเป็นรูปธรรม โดยข้อมูลยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 59% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค นอกจากนี้ ตลาด EV ในปี 2568 ยังมีความคึกคักอย่างมาก โดยค่ายรถยนต์ต่างๆ ได้เปิดตัวรถยนต์ EV รุ่นใหม่มากกว่า 20 รุ่น ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น และที่สำคัญคือราคารถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นเริ่มปรับตัวลงมาอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับรถยนต์สันดาปภายใน (รถน้ำมัน) ได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการเติบโตของตลาดในระยะยาว
คำถามสำคัญ: E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าได้รับประโยชน์หรือไม่
หลังจากที่ได้เห็นความสำเร็จของนโยบายในการผลักดันตลาดรถยนต์ไฟฟ้า คำถามที่หลายคนสงสัยคือ แล้วยานพาหนะไฟฟ้าสองล้อขนาดเล็กอย่างจักรยานไฟฟ้าหรือ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ได้รับอานิสงส์จากนโยบายเหล่านี้ด้วยหรือไม่?
ขอบเขตของคำว่า “ยานยนต์ไฟฟ้า” ในมาตรการรัฐ
ในเอกสารเชิงนโยบายของภาครัฐ มักมีการใช้คำว่า “ยานยนต์ไฟฟ้า” หรือ xEV ในความหมายกว้าง ซึ่งครอบคลุมยานพาหนะไฟฟ้าหลายประเภท ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV), รถยนต์ไฮบริด (HEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิง (FCV) อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของมาตรการสนับสนุนที่มีผลบังคับใช้จริง เช่น การให้เงินอุดหนุน การลดหย่อนภาษี และเงื่อนไขการผลิตชดเชย จะพบว่ามาตรการเหล่านี้ถูกออกแบบมาโดยมุ่งเป้าไปที่ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) เป็นหลัก
สถานะปัจจุบันของ E-Bike ภายใต้นโยบาย
จากข้อมูลที่ปรากฏในมาตรการ EV3 และ EV3.5 ฉบับล่าสุด ไม่พบข้อความหรือเงื่อนไขใดที่ระบุถึงการให้การสนับสนุนโดยตรงแก่จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) หรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งหมายความว่ายานพาหนะสองล้อประเภทนี้ยังไม่ได้อยู่ในขอบข่ายหลักของมาตรการให้เงินอุดหนุนหรือลดหย่อนภาษีที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่
แม้ว่านโยบายจะกล่าวถึงยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวม แต่มาตรการสนับสนุนหลัก เช่น เงินอุดหนุนและการลดภาษี ยังคงมุ่งเป้าไปที่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นสำคัญ ทำให้ปัจจุบันจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไม่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากมาตรการเหล่านี้
เหตุผลหลักเบื้องหลังการมุ่งเน้นไปที่รถยนต์สันนิษฐานได้ว่าเกิดจากเป้าหมายเชิงอุตสาหกรรมที่ต้องการสร้างฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่เพื่อการส่งออก รวมถึงผลกระทบต่อการลดการปล่อยมลพิษในภาพรวมที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับยานพาหนะขนาดเล็ก
เป้าหมายระยะยาวของไทยกับยานยนต์ไฟฟ้า
นอกเหนือจากมาตรการระยะสั้นและระยะกลาง รัฐบาลไทยยังได้วางวิสัยทัศน์ระยะยาวเพื่อกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไว้อย่างชัดเจน
ทำความรู้จักนโยบาย “30@30”
นโยบาย “30@30” คือเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย โดยตั้งเป้าให้การผลิตยานยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) มีสัดส่วนอย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในประเทศภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) เป้าหมายนี้เป็นตัวชี้วัดที่ชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้ผลิตชิ้นส่วนไปจนถึงโรงงานประกอบรถยนต์ เพื่อให้ไทยยังคงเป็นผู้นำด้านยานยนต์ในภูมิภาคต่อไปในยุคของไฟฟ้า
เป้าหมาย Net Zero และความท้าทายในอนาคต
ล่าสุด นายกรัฐมนตรีได้ประกาศปรับเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ของประเทศไทยให้เร็วขึ้นถึง 15 ปี จากเดิมปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) มาเป็นปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) การปรับเป้าหมายครั้งใหญ่นี้ส่งผลโดยตรงต่อภาคการขนส่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ท้าทายนี้ คาดการณ์ว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีปริมาณการใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ในประเทศเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละกว่า 800,000 คัน ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมากและต้องอาศัยนโยบายที่เข้มข้นและการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุม เช่น สถานีชาร์จ เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว
เปรียบเทียบการสนับสนุนยานพาหนะไฟฟ้าประเภทต่างๆ
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถสรุปสถานะการสนับสนุนยานพาหนะไฟฟ้าแต่ละประเภทภายใต้นโยบาย EV3 และ EV3.5 ได้ดังตารางต่อไปนี้
| ประเภทของยานพาหนะไฟฟ้า | ได้รับการสนับสนุนโดยตรง (เงินอุดหนุน/ลดภาษี) | สถานะปัจจุบันตามนโยบาย |
|---|---|---|
| รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) | ใช่ | เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการ EV3 และ EV3.5 |
| รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า | ไม่ระบุในมาตรการนี้ | อาจมีมาตรการสนับสนุนแยกต่างหาก แต่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตหลักของ EV3.5 |
| จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) | ไม่ใช่ | ไม่พบการระบุในมาตรการสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ |
| สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า | ไม่ใช่ | ไม่พบการระบุในมาตรการสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ |
สรุปและแนวทางสำหรับผู้บริโภค
โดยสรุปแล้ว คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า รัฐหนุน EV! E-Bike ได้อานิสงส์ไหม? วิเคราะห์นโยบายล่าสุด คือ ในปัจจุบัน จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไม่ได้รับอานิสงส์หรือเงินอุดหนุนโดยตรงจากมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าหลักของรัฐบาลไทย เช่น EV3 และ EV3.5 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลผลักดันระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังอาจส่งผลดีในทางอ้อมต่อตลาด E-Bike ในระยะยาว เช่น การรับรู้ของประชาชนที่เพิ่มขึ้น และความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีแบตเตอรี่และส่วนประกอบต่างๆ จะมีราคาถูกลง สำหรับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในขณะนี้ การตัดสินใจจึงควรอยู่บนพื้นฐานของคุณภาพ ฟังก์ชันการใช้งาน และความคุ้มค่าของผลิตภัณฑ์ แทนที่จะเป็นการรอคอยเงินอุดหนุนจากภาครัฐ
สำหรับผู้ที่มองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike คุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์และเลือกซื้อรุ่นที่เหมาะสมได้ที่ GIANT Shopping Mall ซึ่งเป็นศูนย์รวมยานพาหนะไฟฟ้าส่วนบุคคลที่น่าเชื่อถือ
สามารถติดตามข่าวสารโปรโมชันและพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือสอบถามผ่านทาง LINE และสามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการได้โดยตรง
