รัฐอุ้ม E-Bike? ส่องมาตรการ EV ใหม่ที่อาจมาถึงปี 2569
- ภาพรวมนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย
- เจาะลึกมาตรการ EV 3.5 กับการสนับสนุน E-Bike โดยตรง
- เปรียบเทียบมาตรการสนับสนุน E-Bike กับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น
- บริบทที่กว้างขึ้น: E-Bike ในยุทธศาสตร์ชาติสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
- อนาคตตลาด E-Bike ไทยภายใต้นโยบายรัฐ
- บทสรุป: ทิศทางที่ชัดเจนของรัฐบาลในการสนับสนุนรถไฟฟ้าสองล้อ
- เลือกสรรจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์
ประเด็นคำถามที่ว่า รัฐอุ้ม E-Bike? ส่องมาตรการ EV ใหม่ที่อาจมาถึงปี 2569 ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในภาคยานยนต์ของประเทศไทย นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐถือเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของตลาด ซึ่งมาตรการ EV 3.5 ที่มีผลบังคับใช้ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนเกี่ยวกับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าสองล้ออย่างเป็นรูปธรรม
- มาตรการ EV 3.5 ของรัฐบาลไทยมอบเงินอุดหนุน 10,000 บาทต่อคัน สำหรับการซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) ที่ผลิตในประเทศ ตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2570
- จักรยานยนต์ไฟฟ้าที่จะได้รับสิทธิ์ต้องมีราคาไม่เกิน 150,000 บาท และติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีความจุตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป
- นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและผลักดันประเทศไทยสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality)
- การสนับสนุนดังกล่าวยังครอบคลุมถึงยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น เช่น รถยนต์และรถกระบะไฟฟ้า แต่มีเงื่อนไขและวงเงินอุดหนุนที่แตกต่างกันไป
- โครงการนำร่องในพื้นที่กรุงเทพมหานครเพื่อส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง (พี่วิน) สะท้อนถึงความพยายามในการประยุกต์ใช้นโยบายให้เกิดผลในระดับชุมชนเมือง
ภาพรวมนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) เป็นหนึ่งในวาระแห่งชาติที่รัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศในระยะยาว ประเด็นคำถามเกี่ยวกับ รัฐอุ้ม E-Bike? ส่องมาตรการ EV ใหม่ที่อาจมาถึงปี 2569 จึงไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเลื่อนลอย แต่เป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องของภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการ EV 3.5 ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนตลาดในช่วงปี 2567-2570
นโยบายเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ สร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาพิจารณายานยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือกหลัก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนด้านการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ การสนับสนุนไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังขยายขอบเขตครอบคลุมไปถึงยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตและระบบเศรษฐกิจของคนไทย เช่น รถกระบะไฟฟ้า และที่สำคัญคือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ซึ่งเป็นพาหนะที่ได้รับความนิยมอย่างสูงและมีจำนวนจดทะเบียนสะสมมากที่สุดในประเทศ การดึงกลุ่มรถสองล้อเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในวงกว้างได้อย่างแท้จริง
มาตรการที่ออกมาจึงไม่ใช่เพียงการให้ส่วนลดหรือเงินอุดหนุนชั่วคราว แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ที่มองไปถึงอนาคต EV ไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิงฟอสซิล แก้ปัญหามลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 ในเขตเมือง และยกระดับประเทศไทยให้กลายเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน การดำเนินการดังกล่าวจึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งผู้กำหนดนโยบาย ผู้ผลิต และผู้บริโภค เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่วางไว้
เจาะลึกมาตรการ EV 3.5 กับการสนับสนุน E-Bike โดยตรง
มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ “EV 3.5” ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ให้คำตอบต่อทิศทางการสนับสนุน E-Bike ของภาครัฐในช่วงหลายปีข้างหน้า มาตรการนี้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ไปจนถึงสิ้นสุดปี พ.ศ. 2570 โดยได้กำหนดกรอบการสนับสนุนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ทั้งผู้ซื้อและผู้ผลิตหันมาให้ความสนใจกับตลาดรถไฟฟ้าสองล้อมากขึ้น
ภายใต้โครงการ EV 3.5 รัฐบาลได้จัดสรรเงินอุดหนุนโดยตรงสำหรับผู้ที่ซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าเกณฑ์ ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า E-Bike เป็นส่วนสำคัญของแผนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศ
เงื่อนไขและคุณสมบัติของ E-Bike ที่ได้รับเงินอุดหนุน
เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างมีเป้าหมายและส่งเสริมเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลได้กำหนดคุณสมบัติของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่จะได้รับเงินอุดหนุนไว้ 2 ประการหลัก ได้แก่:
- ราคาจำหน่าย: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันดังกล่าวต้องมีราคาจำหน่ายปลีกไม่เกิน 150,000 บาท ซึ่งเป็นช่วงราคาที่ครอบคลุม E-Bike ส่วนใหญ่ในตลาดปัจจุบัน ทำให้ผู้บริโภคทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ขนาดแบตเตอรี่: ต้องติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีความจุตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป เงื่อนไขนี้มีขึ้นเพื่อส่งเสริมการใช้แบตเตอรี่ที่มีคุณภาพและมีระยะทางการขับขี่ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งที่เพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ลดความกังวลของผู้ใช้ในเรื่องประสิทธิภาพ
การกำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนเช่นนี้ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน และยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตพัฒนา E-Bike ที่มีสมรรถนะสูงขึ้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและเงื่อนไขของภาครัฐ
กรอบเวลาและจำนวนเงินสนับสนุน
มาตรการ EV 3.5 กำหนดกรอบเวลาการให้เงินอุดหนุนที่ยาวนานถึง 4 ปี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยผู้ที่ซื้อ E-Bike ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไข จะได้รับเงินอุดหนุนในอัตราคงที่ที่ 10,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลาโครงการ ดังนี้:
- ปี 2567: เงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน
- ปี 2568: เงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน
- ปี 2569: เงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน
- ปี 2570: เงินอุดหนุน 10,000 บาท/คัน
การให้เงินอุดหนุนอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2570 ช่วยให้ผู้บริโภคมีเวลาในการวางแผนและตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้ผู้ผลิตสามารถวางแผนการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในระยะยาวได้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเสถียรภาพของตลาดโดยรวม
ความสำคัญของเงื่อนไข “ผลิตในประเทศ”
หนึ่งในเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของมาตรการนี้คือ เงินอุดหนุนจะมอบให้กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ ผลิตในประเทศไทยเท่านั้น ข้อกำหนดนี้สะท้อนเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของรัฐบาลที่ต้องการส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่กระตุ้นการนำเข้า การตั้งเงื่อนไขดังกล่าวมีนัยสำคัญหลายประการ:
- ส่งเสริมการลงทุน: กระตุ้นให้ผู้ผลิตทั้งในและต่างประเทศตั้งฐานการผลิต E-Bike และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องในประเทศไทย
- สร้างงาน: ก่อให้เกิดการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง
- พัฒนาห่วงโซ่อุปทาน: ผลักดันให้เกิดการพัฒนาซัพพลายเชนของชิ้นส่วน EV ภายในประเทศ ตั้งแต่แบตเตอรี่ มอเตอร์ ไปจนถึงระบบควบคุม
- ลดการขาดดุลการค้า: ลดการพึ่งพาการนำเข้ายานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศ
ดังนั้น นโยบายรัฐบาล EV ในส่วนของ E-Bike จึงไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค แต่ยังเป็นการวางรากฐานให้อนาคต EV ไทยเติบโตอย่างยั่งยืนจากฐานการผลิตของตนเอง
เปรียบเทียบมาตรการสนับสนุน E-Bike กับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น
เพื่อให้เห็นภาพรวมของนโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยได้ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบมาตรการสนับสนุนสำหรับ E-Bike กับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) และรถกระบะไฟฟ้า (E-Pickup) เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสะท้อนให้เห็นถึงการจัดลำดับความสำคัญและกลยุทธ์ที่แตกต่างกันของภาครัฐในการผลักดันยานยนต์แต่ละประเภท ซึ่งมีบทบาทต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน
| ประเภทยานยนต์ไฟฟ้า | เงื่อนไขสำคัญ | เงินอุดหนุนสูงสุดต่อคัน |
|---|---|---|
| รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) | ราคาไม่เกิน 150,000 บาท แบตเตอรี่ ≥ 3 kWh |
10,000 บาท |
| รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แบตเตอรี่ ≥ 50 kWh |
100,000 บาท |
| รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แบตเตอรี่ < 50 kWh |
50,000 บาท |
| รถกระบะไฟฟ้า (E-Pickup) | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท แบตเตอรี่ ≥ 50 kWh |
100,000 บาท |
จากตารางจะเห็นได้ว่า แม้จำนวนเงินอุดหนุนสำหรับ E-Bike จะน้อยกว่ารถยนต์ไฟฟ้า แต่เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนต่อราคาขายปลีกแล้ว ถือเป็นส่วนลดที่มีนัยสำคัญและสร้างแรงจูงใจได้เป็นอย่างดี การที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับรถไฟฟ้าสองล้อสะท้อนถึงความเข้าใจในบริบทของสังคมไทย ที่รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะหลักของประชากรจำนวนมาก การเปลี่ยนผ่านของยานยนต์กลุ่มนี้จึงส่งผลกระทบในวงกว้างต่อการลดมลพิษและการใช้พลังงานโดยรวมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บริบทที่กว้างขึ้น: E-Bike ในยุทธศาสตร์ชาติสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
การสนับสนุน E-Bike ผ่านมาตรการ EV 3.5 ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของภาพที่ใหญ่กว่า นั่นคือยุทธศาสตร์ชาติในการมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี พ.ศ. 2608 ภาคการขนส่งถือเป็นหนึ่งในภาคส่วนหลักที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณสูง การส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์สันดาปภายในมาสู่ยานยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
E-Bike มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในยุทธศาสตร์นี้ เนื่องจากเป็นยานพาหนะที่มีจำนวนมากที่สุดบนท้องถนน การเปลี่ยนรถจักรยานยนต์หนึ่งคันมาเป็นระบบไฟฟ้าอาจดูเหมือนลดการปล่อยมลพิษได้ไม่มากเท่ารถยนต์ แต่เมื่อพิจารณาจากจำนวนรถจักรยานยนต์สะสมในระบบที่มีมากกว่า 20 ล้านคัน ผลกระทบโดยรวมจะมหาศาล ทั้งในแง่ของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และลดปัญหามลพิษทางอากาศในเมือง เช่น PM2.5 ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยตรง
กรณีศึกษา: โครงการส่งเสริมมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในกรุงเทพมหานคร
เพื่อผลักดันนโยบายให้เกิดผลเป็นรูปธรรมในระดับพื้นที่ โครงการส่งเสริมการใช้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง หรือ “พี่วิน” ในเขตกรุงเทพมหานคร ถือเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจ โครงการนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้กลุ่มผู้ใช้งานรถจักรยานยนต์ที่มีระยะทางการวิ่งสูงในแต่ละวัน สามารถเปลี่ยนมาใช้ E-Bike ได้ง่ายขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์หลายด้าน:
- ลดมลพิษในเมือง: กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์เป็นกลุ่มที่ใช้งานรถอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งวัน การเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าจึงช่วยลดการปล่อยไอเสียในจุดที่มีการจราจรหนาแน่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดต้นทุนให้ผู้ประกอบอาชีพ: E-Bike มีค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน (ค่าไฟ) และค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่ารถที่ใช้น้ำมันอย่างมาก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับผู้ขับขี่
- สร้างการรับรู้ในวงกว้าง: การมี E-Bike วิ่งให้บริการอยู่ทั่วเมือง ช่วยสร้างความคุ้นเคยและเป็นต้นแบบให้ประชาชนทั่วไปเห็นถึงสมรรถนะและความเป็นไปได้ในการใช้งานจริง
โครงการลักษณะนี้แสดงให้เห็นว่า นอกเหนือจากมาตรการอุดหนุนในภาพรวมแล้ว การดำเนินงานเชิงรุกที่มุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้ใช้งานเฉพาะกลุ่มก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยเร่งให้เกิดการยอมรับและการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในสังคมได้เร็วยิ่งขึ้น
ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเมือง
การเปลี่ยนผ่านสู่ E-Bike ในวงกว้างจะนำมาซึ่งการพัฒนาเมืองสีเขียวและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองอย่างยั่งยืน เสียงของเครื่องยนต์ที่เงียบลงจะช่วยลดปัญหามลพิษทางเสียง ขณะที่การไม่มีท่อไอเสียก็หมายถึงอากาศที่สะอาดยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างเมืองที่น่าอยู่ และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เกิดขึ้นจริง
อนาคตตลาด E-Bike ไทยภายใต้นโยบายรัฐ
นโยบายสนับสนุนที่ชัดเจนและต่อเนื่องจากภาครัฐ โดยเฉพาะมาตรการ EV 3.5 ที่มีผลไปจนถึงปี 2570 กำลังจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภูมิทัศน์ของตลาดรถไฟฟ้าสองล้อในประเทศไทย ทั้งในฝั่งของผู้บริโภคและฝั่งอุตสาหกรรมการผลิต ทิศทางดังกล่าวสร้างความเชื่อมั่นและเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
โอกาสสำหรับผู้บริโภค
สำหรับผู้บริโภคทั่วไป มาตรการเหล่านี้ถือเป็นโอกาสทองในการเป็นเจ้าของ E-Bike ที่มีคุณภาพในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น เงินอุดหนุน 10,000 บาท อาจดูไม่มากเมื่อเทียบกับราคารถ แต่สำหรับยานพาหนะในกลุ่มราคานี้ ถือเป็นส่วนลดที่จูงใจอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การที่รัฐบาลกำหนดมาตรฐานด้านแบตเตอรี่ ยังช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ซื้อว่าจะได้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย
ในอนาคตอันใกล้ เมื่อตลาดมีการแข่งขันสูงขึ้นจากผู้ผลิตที่ต้องการเข้ามาใช้สิทธิ์ในมาตรการนี้ ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งในด้านดีไซน์ ฟังก์ชันการใช้งาน และระดับราคา นอกจากนี้ การพิจารณาซื้อ E-Bike ลดหย่อนภาษี หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีอื่นๆ อาจเป็นมาตรการเพิ่มเติมที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต หากรัฐบาลต้องการกระตุ้นตลาดให้เติบโตยิ่งขึ้นไปอีก
การเติบโตของอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ
เงื่อนไข “ผลิตในประเทศ” เป็นตัวแปรสำคัญที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ผู้ผลิตทั้งรายใหญ่และรายย่อยจะถูกกระตุ้นให้ลงทุนตั้งโรงงานประกอบและผลิตชิ้นส่วนสำคัญในประเทศมากขึ้น สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ แต่ยังนำไปสู่การถ่ายทอดเทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแข่งขันในระยะยาว
การเติบโตของอุตสาหกรรมนี้จะสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง ตั้งแต่ผู้ผลิตแบตเตอรี่, ผู้พัฒนามอเตอร์ไฟฟ้า, ไปจนถึงผู้ให้บริการสถานีสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping) ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและขจัดข้อกังวลของผู้ใช้งานได้อย่างครบวงจร อนาคต EV ไทยสำหรับกลุ่มสองล้อจึงดูสดใสและมีทิศทางที่ชัดเจนภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐ
บทสรุป: ทิศทางที่ชัดเจนของรัฐบาลในการสนับสนุนรถไฟฟ้าสองล้อ
จากข้อมูลทั้งหมดสามารถสรุปได้อย่างชัดเจนว่า ประเด็น รัฐอุ้ม E-Bike? ส่องมาตรการ EV ใหม่ที่อาจมาถึงปี 2569 นั้นมีคำตอบที่แน่นอนแล้วผ่านนโยบาย EV 3.5 รัฐบาลไทยได้แสดงเจตจำนงอย่างแน่วแน่ในการสนับสนุนและผลักดันให้เกิดการใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในวงกว้าง ผ่านการให้เงินอุดหนุนโดยตรง 10,000 บาทต่อคันสำหรับรถที่ผลิตในประเทศและมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ซึ่งมาตรการนี้จะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องจนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2570
นโยบายดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงการมอบส่วนลดแก่ผู้ซื้อ แต่เป็นเครื่องมือเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งเป้าไปที่การสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งภายในประเทศ ส่งเสริมการลงทุน สร้างงาน และพัฒนาเทคโนโลยีของตนเอง ควบคู่ไปกับการบรรลุเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญของชาติในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและแก้ไขปัญหามลพิษในเมืองอย่างยั่งยืน การมาถึงของยุค E-Bike ในประเทศไทยจึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความเป็นจริงที่กำลังเกิดขึ้นและจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
เลือกสรรจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์
สำหรับผู้ที่กำลังมองหายานพาหนะไฟฟ้าสองล้อเพื่อตอบรับกับเทรนด์แห่งอนาคตและใช้ประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนของภาครัฐ การเลือกสรรผลิตภัณฑ์จากผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมีความเชี่ยวชาญเป็นสิ่งสำคัญ ที่ GIANT Shopping Mall มีจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-Bikeหลากหลายรุ่น ที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้งาน
สามารถเข้ามาเยี่ยมชมและทดลองขับขี่ได้ที่โชว์รูม หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และโปรโมชั่นต่างๆ ได้ตามช่องทางต่อไปนี้:
- Facebook: FACEBOOK PAGE
- Line: LINE
- เว็บไซต์: ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม
เวลาทำการ: เปิดให้บริการทุกวัน จันทร์ – เสาร์ (เวลา 9.00 – 18.00 น.)
เบอร์โทรศัพท์: 061-962-2878
ที่ตั้ง: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
