มาตรการ EV 3.5 จบ! ราคา E-Bike ปีหน้าจะเปลี่ยนไปไหม?
ท่ามกลางกระแสความสนใจในยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คำถามที่ว่า มาตรการ EV 3.5 จบ! ราคา E-Bike ปีหน้าจะเปลี่ยนไปไหม? ได้กลายเป็นประเด็นที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่างให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการวางแผนการใช้จ่ายและการลงทุนในปีถัดไป บทความนี้จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ และปัจจัยต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทางราคาจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ในปี 2569 (2026) เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและชัดเจน
- มาตรการ EV 3.5 เป็นนโยบายต่อเนื่องที่จะมีผลบังคับใช้ไปจนถึงสิ้นปี 2570 และยังไม่ได้สิ้นสุดลงตามความเข้าใจที่แพร่หลาย
- จักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) ที่ผลิตในประเทศและมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ยังคงได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาทต่อคัน ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของราคา
- ราคา E-Bike ในปี 2569 คาดว่าจะไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากปัจจัยด้านนโยบายภาครัฐ แต่ยังคงมีตัวแปรอื่น เช่น ต้นทุนการผลิต และการขยายฐานการผลิตในประเทศ ที่อาจส่งผลต่อราคาได้
- การสิ้นสุดสิทธิประโยชน์ด้านภาษีนำเข้าบางส่วนสำหรับรถนำเข้าทั้งคัน (CBU) อาจส่งผลต่อราคา E-Bike รุ่นที่นำเข้าจากต่างประเทศเล็กน้อยในปี 2569
ภาพรวมสถานการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าและนโยบายภาครัฐ
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด อันเป็นผลมาจากความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม นวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญคือนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐที่ชัดเจนและต่อเนื่อง รัฐบาลไทยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ จึงได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้และการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งไม่เพียงแต่จำกัดอยู่แค่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังครอบคลุมไปถึงยานยนต์ประเภทอื่นๆ เช่น รถกระบะไฟฟ้า และจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) ซึ่งถือเป็น phương tiện การเดินทางที่สำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยจำนวนมาก
นโยบายเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ ตั้งแต่การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ผลิตชิ้นส่วนและผู้ประกอบการ ไปจนถึงการมอบเงินอุดหนุนและลดหย่อนภาษีให้กับผู้บริโภคโดยตรง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและสร้างแรงจูงใจในการตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่ง E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของนโยบายนี้ เนื่องจากเป็นยานพาหนะที่มีราคาเข้าถึงง่าย ตอบโจทย์การเดินทางในเมือง และช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เจาะลึกมาตรการ EV 3.5: หัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนตลาด
มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “EV 3.5” คือนโยบายหลักที่ภาครัฐใช้ในการกำกับทิศทางและส่งเสริมตลาด EV ของไทยในปัจจุบัน มาตรการนี้เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากมาตรการ EV 3.0 ที่สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2566 โดยมีการปรับปรุงเงื่อนไขบางประการเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดและเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมในระยะยาว
เป้าหมายและกรอบเวลาของนโยบาย
มาตรการ EV 3.5 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 และมีกำหนดระยะเวลา 4 ปีเต็ม โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2570 เป้าหมายหลักของมาตรการนี้คือการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกิดการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษฝุ่นละออง PM2.5 โดยรัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและผู้บริโภคผ่านนโยบายที่ต่อเนื่องและจับต้องได้
สิทธิประโยชน์หลักสำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike)
สำหรับกลุ่มจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike มาตรการ EV 3.5 ได้กำหนดสิทธิประโยชน์ที่น่าสนใจไว้เพื่อกระตุ้นตลาดโดยเฉพาะ ซึ่งประกอบด้วยสองส่วนหลักคือเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี
1. เงินอุดหนุนโดยตรง: รัฐบาลมอบเงินอุดหนุนจำนวน 10,000 บาทต่อคัน สำหรับการซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าเงื่อนไข โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ราคาจำหน่าย: ต้องเป็นรถที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท
- ขนาดแบตเตอรี่: ต้องมีขนาดความจุของแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป
- แหล่งผลิต: เงื่อนไขสำคัญที่สุดคือ ต้องเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตภายในประเทศไทยเท่านั้น
เงินอุดหนุนส่วนนี้จะถูกส่งมอบให้กับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้าที่เข้าร่วมโครงการ เพื่อนำไปเป็นส่วนลดในราคาขายปลีกให้กับผู้บริโภคโดยตรง ทำให้ราคาที่ผู้ซื้อต้องจ่ายจริงลดลงทันที 10,000 บาท ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ E-Bike มีราคาที่น่าดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น
2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี: นอกเหนือจากเงินอุดหนุนแล้ว ยังมีการลดหย่อนภาษีในส่วนต่างๆ เพื่อช่วยลดต้นทุนของผู้ประกอบการ ซึ่งส่งผลดีต่อราคาจำหน่ายปลายทาง
- ลดภาษีสรรพสามิต: อัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้าถูกปรับลดลงเหลือเพียง 2% จากเดิมที่เคยอยู่ในอัตรา 8%
- ลดอากรนำเข้า: สำหรับการนำเข้ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปทั้งคัน (CBU) ในช่วงปี 2567-2568 จะได้รับการลดหย่อนอากรนำเข้าสูงสุดถึง 40% ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถทำราคาในช่วงเริ่มต้นของมาตรการได้ดีขึ้น ก่อนที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตในประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ไขข้อเท็จจริง: มาตรการ EV 3.5 สิ้นสุดลงในปี 2568 จริงหรือ?
หนึ่งในคำถามสำคัญที่สร้างความสับสนและเป็นที่มาของหัวข้อบทความนี้ คือความเข้าใจที่ว่ามาตรการ EV 3.5 กำลังจะสิ้นสุดลง ซึ่งส่งผลให้เกิดความกังวลว่าราคา E-Bike ในปี 2569 อาจปรับตัวสูงขึ้นจากการหมดสิทธิประโยชน์ต่างๆ
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
ข้อมูลที่ถูกต้องและยืนยันจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) คือ มาตรการ EV 3.5 ยังไม่สิ้นสุดลง และจะยังคงมีผลบังคับใช้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2570 ความเข้าใจผิดอาจเกิดจากการที่มาตรการ EV 3.0 ก่อนหน้านี้มีระยะเวลาสั้นกว่า หรืออาจเกิดจากการตีความข่าวการปรับปรุงเงื่อนไขบางประการของมาตรการว่าเป็นสัญญาณของการยกเลิก
ข้อเท็จจริงที่สำคัญคือ เงินอุดหนุนจำนวน 10,000 บาทต่อคันสำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ยังคงมีผลบังคับใช้ตลอดระยะเวลาของมาตรการ EV 3.5 คือตั้งแต่ปี 2567 จนถึงปี 2570
การปรับปรุงมาตรการล่าสุดจาก BOI
เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้มีการประชุมและอนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดบางส่วนของมาตรการ EV 3.5 จริง แต่การปรับปรุงดังกล่าวไม่ได้เป็นการยกเลิกหรือลดทอนสิทธิประโยชน์สำหรับ E-Bike ในทางกลับกัน การปรับปรุงนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผู้ประกอบการ เช่น การอนุญาตให้ผู้ประกอบการที่นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาจำหน่ายสามารถออกจากมาตรการได้โดยการคืนภาษีพร้อมเบี้ยปรับ หรือการปรับเกณฑ์ราคาหน้าโรงงานให้สอดคล้องกับเขตปลอดอากรมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเงินอุดหนุน 10,000 บาทสำหรับ E-Bike ที่ผลิตในประเทศแต่อย่างใด และยังช่วยลดภาระให้กับผู้ผลิต ซึ่งอาจส่งผลดีต่อเสถียรภาพของราคาในระยะยาว
วิเคราะห์แนวโน้มราคา E-Bike ปี 2569 อย่างละเอียด
เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่ามาตรการ EV 3.5 และเงินอุดหนุนยังคงดำเนินต่อไป จึงสามารถวิเคราะห์แนวโน้มราคาจักรยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2569 ได้โดยแบ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทรงตัวและปัจจัยที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ปัจจัยหนุนที่ทำให้ราคามีเสถียรภาพ
- เงินอุดหนุน 10,000 บาท: นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุด การที่ผู้บริโภคยังคงได้รับส่วนลดราคาโดยตรงจากนโยบายภาครัฐ ทำให้ราคาขายปลีกสุดท้าย (Net Price) ของ E-Bike รุ่นที่ผลิตในประเทศยังคงอยู่ในระดับที่เข้าถึงได้ง่าย
- การแข่งขันในตลาด: เมื่อมีผู้ผลิตหลายรายเข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศเพื่อรับสิทธิประโยชน์จากมาตรการ EV 3.5 จะทำให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้บริโภค
- ภาษีสรรพสามิตในอัตราต่ำ: การคงอัตราภาษีสรรพสามิตไว้ที่ 2% ตลอดมาตรการ ช่วยให้ต้นทุนของผู้ผลิตไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหัน
ตัวแปรที่อาจส่งผลให้ราคาเปลี่ยนแปลง
แม้ว่าแนวโน้มหลักคือความมีเสถียรภาพ แต่ก็ยังมีตัวแปรบางประการที่ควรจับตามอง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคา E-Bike ในปี 2569 มีการปรับเปลี่ยนได้
- สัดส่วนการผลิตในประเทศ: ปัจจัยบวกที่สำคัญคือ หากผู้ผลิตสามารถเพิ่มกำลังการผลิตในประเทศได้มากขึ้น จะทำให้มี E-Bike รุ่นต่างๆ ที่เข้าเกณฑ์รับเงินอุดหนุน 10,000 บาท เพิ่มขึ้นในตลาด ซึ่งอาจช่วยกดดันให้ราคาโดยรวมลดลงหรือทรงตัวในระดับต่ำต่อไป
- การสิ้นสุดการลดอากรนำเข้า CBU: สิทธิประโยชน์ในการลดอากรนำเข้ารถสำเร็จรูป (CBU) สูงสุด 40% นั้น มีกำหนดระยะเวลาเพียง 2 ปี คือ 2567-2568 เท่านั้น ดังนั้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป E-Bike ที่ยังคงเป็นการนำเข้าทั้งคันอาจมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้จำหน่ายต้องปรับราคาขายของรุ่นนั้นๆ ขึ้นเล็กน้อย
- ต้นทุนวัตถุดิบและชิ้นส่วนจากตลาดโลก: ราคาของชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน, มอเตอร์ไฟฟ้า และแผงวงจรควบคุม มีความผันผวนตามกลไกตลาดโลก หากต้นทุนเหล่านี้ปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อราคาจำหน่ายในประเทศได้เช่นกัน แม้จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐก็ตาม
เปรียบเทียบมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 สำหรับ E-Bike
เพื่อให้เห็นภาพความต่อเนื่องของนโยบายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบข้อแตกต่างระหว่างมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจักรยานยนต์ไฟฟ้า จะช่วยให้เข้าใจถึงทิศทางการส่งเสริมของภาครัฐได้ดีขึ้น
| หัวข้อเปรียบเทียบ | มาตรการ EV 3.0 (สิ้นสุด 31 ธ.ค. 2566) | มาตรการ EV 3.5 (2 ม.ค. 2567 – 31 ธ.ค. 2570) |
|---|---|---|
| เงินอุดหนุนต่อคัน | 18,000 บาท | 10,000 บาท |
| เงื่อนไขราคาขายปลีก | ไม่เกิน 150,000 บาท | ไม่เกิน 150,000 บาท |
| เงื่อนไขขนาดแบตเตอรี่ | มีเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงกว่า | ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป (มีความยืดหยุ่นมากขึ้น) |
| เงื่อนไขแหล่งผลิต | ครอบคลุมทั้งรถนำเข้าและผลิตในประเทศ | เฉพาะรถที่ผลิตในประเทศเท่านั้น |
| เป้าหมายหลัก | กระตุ้นการรับรู้และสร้างตลาดในระยะเริ่มต้น | ส่งเสริมการลงทุนและสร้างฐานการผลิตในประเทศ |
จากตารางจะเห็นได้ว่า แม้จำนวนเงินอุดหนุนในมาตรการ EV 3.5 จะลดลงจากเดิม แต่ภาครัฐได้เปลี่ยนจุดเน้นที่สำคัญจากการกระตุ้นการนำเข้ามาสู่การส่งเสริมให้เกิด “การผลิตในประเทศ” อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นนโยบายที่ยั่งยืนและสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
สรุปทิศทางตลาดและโอกาสของผู้บริโภค
โดยสรุปแล้ว คำตอบสำหรับคำถามที่ว่า “มาตรการ EV 3.5 จบ! ราคา E-Bike ปีหน้าจะเปลี่ยนไปไหม?” คือ มาตรการยังไม่จบ และราคา E-Bike ที่ผลิตในประเทศในปี 2569 คาดว่าจะยังคงมีเสถียรภาพสูง โดยมีเงินอุดหนุน 10,000 บาทเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก การเปลี่ยนแปลงของราคาอาจเกิดขึ้นกับรุ่นที่นำเข้าจากต่างประเทศ หรือขึ้นอยู่กับต้นทุนวัตถุดิบในตลาดโลก แต่ภาพรวมยังคงเป็นบวกสำหรับผู้บริโภค
ดังนั้น ปี 2569 จึงยังคงเป็นช่วงเวลาที่ดีและเป็นโอกาสสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อจักรยานยนต์ไฟฟ้า การได้รับส่วนลดโดยตรงจากนโยบายภาครัฐจะช่วยให้การเป็นเจ้าของ E-Bike ที่มีคุณภาพเป็นเรื่องง่ายขึ้น การเลือกซื้อ E-Bike ที่ผลิตในประเทศไม่เพียงแต่จะได้รับสิทธิประโยชน์เต็มที่ แต่ยังเป็นการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยให้เติบโตอย่างแข็งแกร่งอีกด้วย
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานยนต์ไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-bike ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทางยุคใหม่ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมที่จำหน่ายยานพาหนะไฟฟ้าหลากหลายประเภท พร้อมให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้ท่านได้เลือกซื้อ E-Bike ที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุดภายใต้สิทธิประโยชน์จากมาตรการของภาครัฐ
สามารถเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
ที่ตั้งร้าน: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน จันทร์ – เสาร์ (เวลา 9.00 – 18.00 น.)
เบอร์โทรศัพท์: 061-962-2878
ติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้ทาง FACEBOOK PAGE หรือพูดคุยกับเจ้าหน้าที่โดยตรงผ่าน LINE และสามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์ได้ตลอดเวลา
