เช็คระบบไฟฟ้า E-Bike เองได้! 5 จุดต้องดูเบื้องต้น
การทำความเข้าใจและสามารถตรวจสอบระบบไฟฟ้าของจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าได้ด้วยตนเองเป็นทักษะสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพของยานพาหนะ การบำรุงรักษาเชิงป้องกันช่วยให้สามารถตรวจพบปัญหาเล็กน้อยก่อนที่จะบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการซ่อมแซม
ประเด็นสำคัญที่ควรรู้
- การตรวจสอบแบตเตอรี่เป็นประจำคือขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานหลักของระบบทั้งหมด
- กล่องควบคุม (Controller) และมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นส่วนประกอบที่มีความซับซ้อน การตรวจสอบการเชื่อมต่อและสัญญาณการทำงานเบื้องต้นสามารถบ่งชี้ถึงความผิดปกติได้
- ระบบสายไฟเปรียบเสมือนเส้นเลือดของ E-Bike การตรวจสอบหาจุดหลวม ขาด หรือชำรุดจะช่วยป้องกันปัญหากระแสไฟลัดวงจร
- ส่วนประกอบทางกลไก เช่น ระบบเบรกและลมยาง มีผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงานของระบบไฟฟ้าและมอเตอร์
- การใช้เครื่องมือพื้นฐาน เช่น มัลติมิเตอร์ หรือ E-Bike Tester จะช่วยให้การวินิจฉัยปัญหามีความแม่นยำและปลอดภัยยิ่งขึ้น
คู่มือนี้จะนำเสนอวิธีการ เช็คระบบไฟฟ้า E-Bike เองได้! 5 จุดต้องดูเบื้องต้น เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถดูแลจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าของตนเองได้อย่างมั่นใจ การตรวจสอบระบบไฟฟ้าเป็นประจำไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดค่าซ่อม แต่ยังเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่อีกด้วย การทำความเข้าใจส่วนประกอบหลัก 5 ส่วน ได้แก่ แบตเตอรี่, กล่องควบคุม, มอเตอร์, ระบบสายไฟ และระบบเบรก จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถระบุสาเหตุของปัญหาที่พบบ่อยและดำเนินการแก้ไขเบื้องต้นได้อย่างถูกวิธี
ความสำคัญของการบำรุงรักษาระบบไฟฟ้า E-Bike
จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ากำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นในฐานะยานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับยานพาหนะทั่วไป E-Bike ต้องการการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของระบบไฟฟ้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำงานทั้งหมด การละเลยการตรวจสอบอาจนำไปสู่ปัญหาต่างๆ ตั้งแต่ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ระยะทางที่วิ่งได้สั้นลง ไปจนถึงการหยุดทำงานกะทันหันซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
ผู้ใช้งานส่วนใหญ่มักรอให้เกิดอาการผิดปกติขึ้นก่อนจึงจะนำรถไปให้ช่างตรวจสอบ ซึ่งในหลายกรณี ปัญหาเล็กน้อยที่ถูกปล่อยทิ้งไว้อาจลุกลามจนสร้างความเสียหายให้กับส่วนประกอบอื่นๆ ที่มีราคาสูง เช่น แบตเตอรี่หรือมอเตอร์ การเรียนรู้วิธีการตรวจสอบเบื้องต้นด้วยตนเองจึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด การตรวจสอบเป็นประจำช่วยให้ผู้ใช้คุ้นเคยกับสภาพปกติของรถ และสามารถสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคย, การตอบสนองที่ช้าลงของคันเร่ง หรือระยะทางที่ลดลงอย่างผิดสังเกต การดำเนินการแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยรักษาอายุการใช้งานของส่วนประกอบต่างๆ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ
5 จุดตรวจสอบหลักของระบบไฟฟ้า E-Bike
เพื่อให้การตรวจสอบเป็นไปอย่างเป็นระบบและครอบคลุม สามารถแบ่งส่วนประกอบหลักของระบบไฟฟ้า E-Bike ที่ต้องให้ความสำคัญออกเป็น 5 จุด ดังนี้
1. แบตเตอรี่: หัวใจหลักของพลังงาน
แบตเตอรี่คือแหล่งกักเก็บและจ่ายพลังงานให้กับทุกส่วนของ E-Bike หากแบตเตอรี่ทำงานผิดปกติ ระบบทั้งหมดก็จะไม่สามารถทำงานได้ การดูแลรักษาแบตเตอรี่จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
การตรวจสอบสภาพภายนอก: เริ่มต้นด้วยการสำรวจตัวแบตเตอรี่ด้วยสายตา มองหาสัญญาณความเสียหาย เช่น รอยแตกร้าว, การบวมของตัวแบตเตอรี่, หรือร่องรอยของเหลวรั่วซึม หากพบอาการเหล่านี้ ควรหยุดใช้งานทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของเซลล์แบตเตอรี่ภายในที่เสียหายและอาจเป็นอันตรายได้ นอกจากนี้ ควรตรวจสอบขั้วต่อของแบตเตอรี่ว่าสะอาด ไม่มีคราบออกไซด์หรือสนิมเกาะ ซึ่งอาจขัดขวางการไหลของกระแสไฟฟ้า
การตรวจสอบประสิทธิภาพการชาร์จและการจ่ายไฟ: สังเกตกระบวนการชาร์จไฟว่าปกติหรือไม่ ที่ชาร์จควรมีไฟแสดงสถานะการทำงาน และแบตเตอรี่ควรชาร์จเต็มในระยะเวลาที่เหมาะสมตามที่ระบุในคู่มือ หากแบตเตอรี่ใช้เวลาชาร์จนานผิดปกติ หรือร้อนจัดระหว่างชาร์จ อาจเป็นสัญญาณของความเสื่อมสภาพ เมื่อนำไปใช้งาน ให้สังเกตว่าระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งลดลงอย่างเห็นได้ชัดหรือไม่ เมื่อเทียบกับช่วงที่ซื้อมาใหม่ๆ การที่ระยะทางลดลงเป็นเรื่องปกติเมื่อแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานมากขึ้น แต่หากลดลงอย่างรวดเร็วอาจบ่งชี้ถึงปัญหา
การวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage): สำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านไฟฟ้าเบื้องต้น สามารถใช้มัลติมิเตอร์ (Multimeter) เพื่อวัดแรงดันไฟฟ้าของแบตเตอรี่ได้ โดยตั้งค่ามัลติมิเตอร์ไปที่โหมดวัดไฟกระแสตรง (DC Voltage) และวัดแรงดันที่ขั้วบวกและลบของแบตเตอรี่เมื่อชาร์จเต็มแล้ว ค่าที่วัดได้ควรใกล้เคียงกับค่าแรงดันที่ระบุไว้บนตัวแบตเตอรี่ (เช่น 36V, 48V) หากค่าที่วัดได้ต่ำกว่าปกติมาก อาจหมายความว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพและไม่สามารถเก็บประจุได้เต็มที่
2. กล่องควบคุม (Controller): สมองกลของระบบ
กล่องควบคุมหรือคอนโทรลเลอร์ ทำหน้าที่เป็น “สมอง” ของ E-Bike โดยรับสัญญาณจากส่วนต่างๆ เช่น คันเร่ง, เซ็นเซอร์เบรก, และเซ็นเซอร์รอบขา (PAS) แล้วประมวลผลเพื่อสั่งการให้มอเตอร์ทำงานอย่างเหมาะสม ปัญหาที่กล่องควบคุมมักส่งผลต่อการทำงานโดยรวมของรถ
การตรวจสอบการเชื่อมต่อ: กล่องควบคุมมีสายไฟจำนวนมากเชื่อมต่ออยู่ ให้ตรวจสอบว่าสายไฟทุกเส้นเสียบเข้ากับขั้วต่ออย่างแน่นหนา ไม่มีเส้นใดหลุดหลวมหรือมีร่องรอยการฉีกขาดของฉนวน ขั้วต่อควรสะอาดและแห้งสนิท ความชื้นหรือสิ่งสกปรกอาจทำให้เกิดการลัดวงจรได้ ตรวจสอบตัวกล่องควบคุมเองว่ามีร่องรอยความเสียหายทางกายภาพหรือรอยไหม้หรือไม่ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงความเสียหายของวงจรภายใน
การทดสอบฟังก์ชันพื้นฐาน: ทดสอบการทำงานของส่วนประกอบที่ส่งสัญญาณไปยังกล่องควบคุม เช่น ลองบิดคันเร่ง (Throttle) ดูว่ามอเตอร์มีการตอบสนองอย่างราบรื่นหรือไม่ หากมีอาการกระตุกหรือไม่ตอบสนอง อาจเกิดจากปัญหาที่คันเร่งเองหรือที่กล่องควบคุม ทดสอบระบบตัดไฟของเบรก โดยการกำเบรกแล้วลองบิดคันเร่ง มอเตอร์จะต้องไม่ทำงาน หากมอเตอร์ยังคงทำงานแม้กำเบรกอยู่ แสดงว่าระบบตัดไฟมีปัญหา ซึ่งอาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
การใช้เครื่องมือทดสอบเฉพาะทาง: สำหรับการวินิจฉัยที่ละเอียดขึ้น สามารถใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “E-Bike Tester” ซึ่งสามารถเชื่อมต่อกับสายไฟต่างๆ ของกล่องควบคุม, มอเตอร์, และคันเร่ง เพื่อตรวจสอบว่าแต่ละส่วนส่งและรับสัญญาณได้ถูกต้องหรือไม่ เครื่องมือนี้สามารถระบุได้อย่างแม่นยำว่าปัญหาเกิดจาก Hall Sensor ในมอเตอร์, ตัวคันเร่ง, หรือวงจรภายในกล่องควบคุมเอง
3. มอเตอร์ไฟฟ้า: ขุมพลังแห่งการขับเคลื่อน
มอเตอร์เป็นส่วนที่แปลงพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ให้เป็นพลังงานกลเพื่อขับเคลื่อนล้อ โดยทั่วไปแล้วมอเตอร์ E-Bike มีความทนทานสูง แต่ก็อาจเกิดปัญหาได้เช่นกัน
การตรวจสอบสายไฟมอเตอร์: สายไฟที่ออกมาจากดุมมอเตอร์ (Hub Motor) เป็นจุดที่มักเกิดความเสียหายได้ง่ายจากการกระแทกหรือการเสียดสี ตรวจสอบสายไฟเส้นนี้ตลอดแนวว่ามีรอยถลอก, รอยหนูกัด, หรือรอยฉีกขาดหรือไม่ หากฉนวนหุ้มสายไฟเสียหายอาจทำให้เกิดการลัดวงจรและสร้างความเสียหายแก่มอเตอร์และกล่องควบคุมได้
การสังเกตเสียงและความร้อน: ขณะใช้งาน ให้ลองฟังเสียงที่ผิดปกติจากมอเตอร์ เสียงหอน, เสียงดังแกรกๆ หรือเสียงเสียดสี อาจบ่งบอกถึงปัญหาของชุดเกียร์ภายใน (สำหรับมอเตอร์แบบมีเกียร์) หรือลูกปืนที่สึกหรอ นอกจากนี้ หลังใช้งานให้ลองสัมผัสที่ตัวมอเตอร์ หากรู้สึกว่าร้อนจัดผิดปกติ อาจหมายถึงมอเตอร์ทำงานหนักเกินไป ซึ่งอาจเกิดจากปัญหาระบบไฟฟ้าอื่นๆ หรือปัญหาทางกลไก เช่น เบรกติด
การตรวจสอบ Hall Sensor: มอเตอร์แบบไร้แปรงถ่าน (Brushless Motor) ส่วนใหญ่จะมีเซ็นเซอร์ที่เรียกว่า Hall Sensor ทำหน้าที่ตรวจจับตำแหน่งของแกนมอเตอร์เพื่อส่งข้อมูลให้กล่องควบคุมจ่ายไฟได้อย่างถูกต้อง หากเซ็นเซอร์ตัวใดตัวหนึ่งเสีย มอเตอร์อาจมีอาการกระตุก, ไม่มีแรง หรือไม่หมุนเลย การตรวจสอบ Hall Sensor มักต้องใช้ E-Bike Tester เพื่อดูสัญญาณที่ส่งออกมาว่าครบถ้วนและถูกต้องหรือไม่
4. ระบบสายไฟโดยรวม: เส้นเลือดหล่อเลี้ยงระบบ
นอกจากสายไฟที่เชื่อมต่อกับส่วนประกอบหลักแล้ว E-Bike ยังมีชุดสายไฟหลักที่เชื่อมโยงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ปัญหาที่จุดเชื่อมต่อเพียงจุดเดียวก็สามารถทำให้ระบบทั้งหมดหยุดทำงานได้
การไล่ตรวจสอบจุดเชื่อมต่อ (Connectors): เริ่มต้นจากแบตเตอรี่ ไล่ไปตามสายไฟหลักเพื่อตรวจสอบขั้วต่อทุกจุดที่สามารถถอดได้ ถอดและเสียบใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าสัมผัสแน่นดี ตรวจสอบภายในขั้วต่อว่ามีพิน (Pin) งอหรือหักหรือไม่ และไม่มีคราบสกปรกหรือความชื้นสะสมอยู่ จุดเชื่อมต่อที่อยู่ภายนอกตัวรถและอาจโดนน้ำได้ควรมีการซีลกันน้ำที่ดี
การตรวจสอบสภาพสายไฟ: ไล่ดูสายไฟตลอดทั้งคัน มองหาบริเวณที่สายไฟอาจถูกหนีบ, หักงออย่างรุนแรง หรือเสียดสีกับโครงรถจนฉนวนเสียหาย โดยเฉพาะบริเวณคอรถที่มีการหมุนบ่อยครั้ง และบริเวณใต้ท้องรถที่อาจโดนกระแทกได้ง่าย การใช้เคเบิลไทร์หรือท่อร้อยสายไฟเพื่อจัดระเบียบและป้องกันสายไฟจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
ข้อควรระวัง: ก่อนทำการตรวจสอบหรือถอดสายไฟใดๆ ควรปิดระบบและถอดแบตเตอรี่ออกจากตัวรถเสมอ เพื่อป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและความเสียหายต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
5. ระบบเบรกและยาง: ส่วนประกอบที่ส่งผลต่อไฟฟ้า
แม้ว่าเบรกและยางจะไม่ใช่ส่วนประกอบไฟฟ้าโดยตรง แต่ก็มีผลอย่างมากต่อการทำงานของระบบไฟฟ้า การละเลยการดูแลรักษาส่วนเหล่านี้อาจทำให้มอเตอร์และแบตเตอรี่ทำงานหนักเกินความจำเป็น
การตรวจสอบระบบเบรกไฟฟ้า (E-Brake): E-Bike ส่วนใหญ่จะมีเซ็นเซอร์ที่มือเบรก ซึ่งจะส่งสัญญาณไปยังกล่องควบคุมเพื่อตัดการทำงานของมอเตอร์ทันทีที่กำเบรก ตรวจสอบให้แน่ใจว่าฟังก์ชันนี้ทำงานปกติ หากเซ็นเซอร์ค้างอยู่ในตำแหน่ง “เบรก” มอเตอร์ก็จะไม่ทำงานเลย แม้จะไม่ได้กำเบรกอยู่ก็ตาม ในทางกลับกัน หากเซ็นเซอร์ไม่ทำงาน การเบรกจะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและอาจเป็นอันตราย
การตรวจสอบการตั้งเบรก (Mechanical Brake): ตรวจสอบว่าผ้าเบรกไม่ได้เสียดสีกับจานเบรกหรือขอบล้อตลอดเวลา (เบรกติด) การที่เบรกติดจะสร้างแรงต้านทานอย่างต่อเนื่อง ทำให้มอเตอร์ต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการขับเคลื่อน ส่งผลให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นและมอเตอร์ร้อนจัด ซึ่งเป็นการลดอายุการใช้งานของทั้งสองส่วนประกอบ
การตรวจสอบแรงดันลมยาง: ยางที่อ่อนเกินไปจะเพิ่มแรงเสียดทานระหว่างล้อกับพื้นผิวถนนอย่างมาก ทำให้มอเตอร์ต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อรักษาระดับความเร็วเดิม ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้เปลืองพลังงานแบตเตอรี่ แต่ยังสร้างภาระให้กับมอเตอร์โดยไม่จำเป็น ควรตรวจสอบและเติมลมยางให้ได้ตามค่าที่ผู้ผลิตแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งโดยทั่วไปจะระบุไว้ที่แก้มยาง
เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการตรวจสอบเบื้องต้น
การมีเครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยให้การตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเบื้องต้นทำได้ง่ายและปลอดภัยยิ่งขึ้น เครื่องมือพื้นฐานที่ควรมีติดไว้ ได้แก่:
- ชุดประแจหกเหลี่ยมและไขควง: สำหรับการเปิดฝาครอบต่างๆ และขันน็อตยึดส่วนประกอบ
- มัลติมิเตอร์ (Multimeter): อุปกรณ์สำคัญสำหรับวัดแรงดันไฟฟ้า (Voltage), ความต้านทาน (Resistance) และความต่อเนื่องของสายไฟ (Continuity)
- ที่สูบลมยางพร้อมเกจวัด: สำหรับตรวจสอบและเติมลมยางให้ได้แรงดันที่เหมาะสม
- E-Bike Tester (ถ้ามี): เป็นเครื่องมือเฉพาะทางที่ช่วยให้การวินิจฉัยปัญหากล่องควบคุม, มอเตอร์ และคันเร่งทำได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- แปรงทำความสะอาดและสเปรย์ Contact Cleaner: สำหรับทำความสะอาดขั้วต่อไฟฟ้าต่างๆ เพื่อให้การเชื่อมต่อมีประสิทธิภาพสูงสุด
| จุดที่ตรวจสอบ | อาการที่บ่งชี้ปัญหา | วิธีการตรวจสอบเบื้องต้น | เครื่องมือที่แนะนำ |
|---|---|---|---|
| 1. แบตเตอรี่ | ระยะทางสั้นลง, ชาร์จไม่เข้า, รถไม่มีกำลัง, ตัวแบตเตอรี่บวม | ดูสภาพภายนอก, สังเกตการชาร์จ, วัดแรงดันไฟฟ้า | มัลติมิเตอร์ |
| 2. กล่องควบคุม | รถไม่ทำงานเลย, คันเร่งไม่ตอบสนอง, อาการกระตุก, ระบบตัดไฟเบรกไม่ทำงาน | ตรวจสอบการเชื่อมต่อสายไฟ, ทดสอบฟังก์ชันคันเร่งและเบรก | E-Bike Tester |
| 3. มอเตอร์ไฟฟ้า | มีเสียงดังผิดปกติ, มอเตอร์ร้อนจัด, ไม่มีแรง, ล้อสะดุด | ตรวจสอบสายไฟที่ดุมล้อ, ฟังเสียงขณะทำงาน, สังเกตความร้อน | E-Bike Tester (สำหรับ Hall Sensor) |
| 4. ระบบสายไฟ | ระบบไฟติดๆ ดับๆ, หน้าจอไม่แสดงผล, อุปกรณ์บางอย่างไม่ทำงาน | ไล่ตรวจสอบขั้วต่อและสภาพสายไฟตลอดทั้งคัน | มัลติมิเตอร์ (วัดความต่อเนื่อง) |
| 5. เบรกและยาง | รถอืด, แบตหมดเร็วผิดปกติ, มอเตอร์ร้อน | เช็คว่าเบรกไม่ติด, ตรวจสอบแรงดันลมยาง | ที่สูบลมพร้อมเกจวัด |
สรุปและแนวทางการดูแลรักษาในระยะยาว
การสามารถ เช็คระบบไฟฟ้า E-Bike เองได้! 5 จุดต้องดูเบื้องต้น เป็นทักษะที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ใช้งานทุกคน การตรวจสอบแบตเตอรี่, กล่องควบคุม, มอเตอร์, ระบบสายไฟ และส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องอย่างเบรกและยางเป็นประจำ จะช่วยให้ตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งนำไปสู่การแก้ไขที่ง่ายและประหยัดกว่าการปล่อยให้ปัญหาบานปลาย การบำรุงรักษาเชิงป้องกันไม่เพียงช่วยยืดอายุการใช้งานของจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า แต่ยังรับประกันว่ายานพาหนะจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยในทุกการเดินทาง
อย่างไรก็ตาม หากทำการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วยังไม่สามารถระบุสาเหตุของปัญหาได้ หรือปัญหาที่พบมีความซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ไขด้วยตนเอง การนำรถเข้ารับการตรวจสอบจากช่างผู้เชี่ยวชาญคือทางเลือกที่ปลอดภัยและดีที่สุด เนื่องจากระบบไฟฟ้าแรงดันสูงอาจเป็นอันตรายหากจัดการไม่ถูกวิธี การดูแลรักษารถอย่างสม่ำเสมอคือการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อความสุขและความปลอดภัยในการใช้งานในระยะยาว
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike คุณภาพ ที่ GIANT Shopping Mall มีจำหน่ายยานพาหนะไฟฟ้าหลากหลายประเภทที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ พร้อมบริการหลังการขายที่น่าเชื่อถือ
สามารถเข้าชมสินค้าและรับคำปรึกษาได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือ LINE และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ได้โดยตรง
