E-Bike เก่าไปไหน? อนาคตการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV
การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ในประเทศไทยกำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การคมนาคมไปอย่างรวดเร็ว แต่เบื้องหลังความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมนั้น มีคำถามสำคัญที่ตามมาคือ เมื่อแบตเตอรี่หมดอายุการใช้งานแล้ว E-Bike เก่าไปไหน? อนาคตการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV จะเป็นอย่างไร การจัดการแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่เสื่อมสภาพกลายเป็นประเด็นเร่งด่วนที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เพื่อป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมและผลักดันประเทศไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างแท้จริง
- การเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าทำให้ปริมาณขยะแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งคาดว่าจะสูงถึง 7.8 ล้านตันต่อปีภายในปี 2040 ในประเทศไทย
- ประเทศไทยยังขาดกฎหมายที่ชัดเจนในการจัดการแบตเตอรี่หมดอายุโดยเฉพาะ ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนของสารอันตรายสู่สิ่งแวดล้อม
- เทคโนโลยีการรีไซเคิลสมัยใหม่สามารถสกัดแร่ธาตุมีค่ากลับมาใช้ใหม่ได้ ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ภาครัฐกำลังผลักดันนโยบายและกฎหมาย เช่น หลักการความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR) เพื่อสร้างระบบการจัดการแบตเตอรี่ที่ยั่งยืนและครบวงจร
- แบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานจากรถยนต์ ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ได้ เช่น ระบบกักเก็บพลังงานสำรอง เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานที่สุด
ภาพรวมอนาคตการจัดการแบตเตอรี่ในไทย
กระแสความนิยมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์ส่วนบุคคล แต่ยังรวมถึงจักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่กลายเป็นทางเลือกการเดินทางที่สะดวกและประหยัดสำหรับคนเมือง การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ความต้องการแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์เหล่านี้ เพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม เมื่อแบตเตอรี่เหล่านี้สิ้นสุดอายุการใช้งาน มันจะกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีความซับซ้อนและอาจเป็นอันตรายหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี ประเด็นเรื่อง E-Bike เก่าไปไหน? อนาคตการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV จึงกลายเป็นวาระสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันหาทางออก เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและปกป้องสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว
ความสำคัญของปัญหานี้ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณขยะที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับโอกาสทางเศรษฐกิจที่มาพร้อมกับ “เศรษฐกิจหมุนเวียน” (Circular Economy) การรีไซเคิลแบตเตอรี่อย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดมลพิษ แต่ยังสามารถนำแร่ธาตุหายากและมีมูลค่าสูง เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล กลับมาใช้ในกระบวนการผลิตใหม่ ซึ่งช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ ดังนั้น การวางรากฐานระบบการจัดการแบตเตอรี่เก่าตั้งแต่การเก็บรวบรวม การคัดแยก ไปจนถึงการรีไซเคิลด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพของอุตสาหกรรมสีเขียวและนำพาสังคมไทยไปสู่ความยั่งยืน
ความท้าทายของขยะอิเล็กทรอนิกส์จากยานยนต์ไฟฟ้า
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้ามาพร้อมกับความท้าทายด้านการจัดการของเสีย โดยเฉพาะแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งาน ซึ่งมีองค์ประกอบที่ซับซ้อนและเป็นอันตราย การรับมือกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ประเภทนี้จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจในความท้าทายหลัก ๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ
ปริมาณแบตเตอรี่เสื่อมสภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐที่ตั้งเป้าให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วนถึง 30% ของการผลิตทั้งหมดภายในปี 2030 ส่งผลให้จำนวนรถ EV และ E-Bike บนท้องถนนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ตามมาคือปริมาณแบตเตอรี่เสื่อมสภาพที่จะกลายเป็นขยะในอนาคตอันใกล้ มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2040 ปริมาณแบตเตอรี่ที่หมดอายุการใช้งานในประเทศไทยอาจพุ่งสูงถึง 7.8 ล้านตันต่อปี ปริมาณมหาศาลนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งต่อระบบการจัดการขยะที่มีอยู่ในปัจจุบัน
คาดการณ์ว่าในปี 2040 ประเทศไทยจะต้องรับมือกับขยะแบตเตอรี่จากยานยนต์ไฟฟ้าที่หมดอายุการใช้งานมากถึง 7.8 ล้านตันต่อปี ซึ่งเป็นปริมาณที่ต้องการระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับ
ช่องว่างทางกฎหมายและการจัดการที่ยังไม่เป็นระบบ
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่บัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมการจัดการแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่หมดอายุโดยเฉพาะ การขาดกรอบกฎหมายที่ชัดเจนทำให้กระบวนการตั้งแต่การเก็บรวบรวม การขนส่ง ไปจนถึงการกำจัดหรือรีไซเคิลยังคงเป็นไปอย่างไม่มีทิศทางที่แน่นอน ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงที่แบตเตอรี่เก่าจะถูกทิ้งปะปนกับขยะทั่วไป หรือถูกจัดการอย่างไม่ถูกวิธี ซึ่งอาจนำไปสู่การรั่วไหลของสารเคมีอันตราย เช่น โลหะหนักและสารละลายอิเล็กโทรไลต์ ลงสู่แหล่งน้ำและดิน ก่อให้เกิดมลพิษที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว
ความท้าทายในระบบการจัดเก็บและรวบรวม
อีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญคือการสร้างระบบการเก็บรวบรวมแบตเตอรี่เก่าให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทั่วประเทศ การรวบรวมแบตเตอรี่ที่กระจายอยู่ตามครัวเรือนและสถานประกอบการต่าง ๆ จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค และบริษัทจัดการขยะ นอกจากนี้ การรักษาความต่อเนื่องของปริมาณแบตเตอรี่ที่ป้อนเข้าสู่โรงงานรีไซเคิลก็เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้กระบวนการรีไซเคิลสามารถดำเนินไปได้อย่างคุ้มค่าและมีเสถียรภาพ หากไม่มีระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics) ที่แข็งแกร่ง การลงทุนในเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูงก็อาจไม่เกิดประโยชน์สูงสุด
เทคโนโลยีและนวัตกรรมการรีไซเคิลแบตเตอรี่
เพื่อรับมือกับปัญหาขยะแบตเตอรี่ที่เพิ่มขึ้น อุตสาหกรรมรีไซเคิลทั่วโลกได้พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมขึ้นมาหลากหลายรูปแบบ เพื่อสกัดเอาวัสดุมีค่ากลับคืนมาและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งประเทศไทยเองก็เริ่มมีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้และพัฒนาต่อยอด
กระบวนการรีไซเคิลที่สำคัญในปัจจุบัน
เทคโนโลยีการรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ทั้งในด้านประสิทธิภาพ ต้นทุน และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
| เทคโนโลยีรีไซเคิล | หลักการทำงาน | ข้อดี | ข้อจำกัด |
|---|---|---|---|
| Pyrometallurgical (ไพโรเมทัลเลอร์จิคัล) | ใช้ความร้อนสูงในการหลอมแบตเตอรี่เพื่อแยกโลหะผสมออกมา | สามารถจัดการแบตเตอรี่ได้หลากหลายรูปแบบโดยไม่ต้องคัดแยกละเอียด | ใช้พลังงานสูงและอาจปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่สามารถกู้คืนลิเธียมได้ |
| Hydrometallurgical (ไฮโดรเมทัลเลอร์จิคัล) | ใช้สารละลายเคมี (กรด) ในการสกัดโลหะมีค่าออกจากวัสดุแคโทด | ใช้พลังงานต่ำกว่า มีความบริสุทธิ์ของโลหะที่สกัดได้สูง กู้คืนลิเธียมได้ | กระบวนการซับซ้อนและอาจเกิดน้ำเสียจากสารเคมีที่ต้องบำบัด |
| Direct Physical Recycling (รีไซเคิลทางกายภาพ) | การบดและคัดแยกส่วนประกอบของแบตเตอรี่เพื่อนำวัสดุกลับมาใช้โดยตรง | รักษาสภาพโครงสร้างของวัสดุแคโทดได้ดี ลดขั้นตอนและพลังงาน | ต้องคัดแยกแบตเตอรี่ตามเคมีอย่างละเอียดก่อนเข้ากระบวนการ |
นวัตกรรมรีไซเคิลเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย
ในประเทศไทย มีบริษัทที่พัฒนานวัตกรรมด้านการรีไซเคิลแบตเตอรี่อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บริษัท Sun-up Recycling ที่ได้พัฒนาเทคนิคการกลั่นเพื่อรีไซเคิลสารละลายจากแบตเตอรี่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการไฮโดรเมทัลเลอร์จิคัล เทคโนโลยีนี้ช่วยในการแยกและทำให้สารบริสุทธิ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอ้างว่าสามารถลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของกระบวนการได้ถึง 77% เมื่อเทียบกับวิธีดั้งเดิม นวัตกรรมเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมรีไซเคิลในประเทศ แต่ยังเป็นส่วนสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน EV ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ความสำคัญและผลกระทบเชิงบวกของการรีไซเคิล
การรีไซเคิลแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไม่ได้เป็นเพียงการกำจัดขยะอันตราย แต่เป็นกระบวนการที่สร้างมูลค่าเพิ่มและส่งผลดีในหลายมิติ ทั้งต่อสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียน
ประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดของการรีไซเคิลคือการลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติที่ต้องมาจากการทำเหมือง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสูง ทั้งในแง่ของการทำลายหน้าดิน การใช้น้ำปริมาณมหาศาล และการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การนำแร่ธาตุมีค่า เช่น ลิเธียม โคบอลต์ และนิกเกิล กลับมาใช้ใหม่จากแบตเตอรี่เก่า ช่วยลดความต้องการวัตถุดิบใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ มีข้อมูลระบุว่าการรีไซเคิลแบตเตอรี่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่าการใช้วัตถุดิบใหม่ถึง 4 เท่า ซึ่งสอดคล้องกับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนที่มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดของเสียให้เป็นศูนย์
การนำกลับมาใช้ใหม่: สร้างชีวิตที่สองให้แบตเตอรี่
แบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพจากการใช้งานในยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงแบตเตอรี่ที่มีความจุเหลือต่ำกว่า 70-80% ยังคงมีศักยภาพในการใช้งานด้านอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการพละกำลังสูงเท่าการขับเคลื่อนรถยนต์ แนวคิดการให้ “ชีวิตที่สอง” (Second Life) แก่แบตเตอรี่จึงเกิดขึ้น โดยนำแบตเตอรี่เก่าเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้เป็นระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System) เช่น การสำรองไฟฟ้าในอาคาร หรือการเก็บพลังงานจากแผงโซลาร์เซลล์เพื่อใช้ในเวลากลางคืน ตัวอย่างที่เกิดขึ้นจริงแล้วคือโครงการที่บริษัทรถยนต์อย่าง Nissan และ Toyota นำแบตเตอรี่ใช้แล้วมาติดตั้งเป็นแหล่งพลังงานเสริมในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ให้ยาวนานที่สุดก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลในขั้นตอนสุดท้าย
ทิศทางนโยบายและอนาคตการจัดการแบตเตอรี่ในไทย
เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าและจัดการกับปัญหาขยะแบตเตอรี่อย่างยั่งยืน ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเทศไทยกำลังเร่งพัฒนานโยบายและวางกรอบกฎหมายให้มีความชัดเจนและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
การพัฒนากฎหมายและข้อบังคับ
ปัจจุบันมีความพยายามผลักดันกฎหมายเพื่อจัดการปัญหาขยะอุตสาหกรรมและขยะอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ร่างพระราชบัญญัติการจัดการของเสียอุตสาหกรรม ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อวางกรอบการจัดการซากผลิตภัณฑ์อย่างเป็นระบบ โดยครอบคลุมถึงขยะแบตเตอรี่และรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน การมีกฎหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดบทบาทและความรับผิดชอบของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย ไปจนถึงผู้บริโภคและผู้ประกอบการรีไซเคิล
หลักการความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR)
หนึ่งในแนวทางสำคัญที่ได้รับการเสนอและนำมาพิจารณาคือการใช้หลักการ Extended Producer Responsibility (EPR) หรือหลักการความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นของผู้ผลิต หลักการนี้กำหนดให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าแบตเตอรี่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการซากผลิตภัณฑ์ของตนเองเมื่อหมดอายุการใช้งาน ซึ่งจะสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ง่ายต่อการรีไซเคิลและมีความทนทานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้พัฒนากลไก “Battery Passport” ซึ่งเป็นระบบดิจิทัลที่ใช้ติดตามข้อมูลของแบตเตอรี่แต่ละก้อนตลอดวงจรชีวิต ตั้งแต่แหล่งที่มาของวัตถุดิบ กระบวนการผลิต ประวัติการใช้งาน ไปจนถึงการรีไซเคิล เพื่อให้การจัดการเป็นไปอย่างโปร่งใสและมีประสิทธิภาพ
การส่งเสริมการวิจัยและเป้าหมายระดับชาติ
ภาครัฐเล็งเห็นถึงความสำคัญของการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีรีไซเคิลที่เหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย จึงมีการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมรีไซเคิลในประเทศให้แข็งแกร่ง สามารถสร้างตลาดสำหรับวัสดุรีไซเคิลคุณภาพสูง และตอบสนองเป้าหมายของประเทศที่ต้องการให้ยานยนต์ไฟฟ้ามีสัดส่วน 30% ของการผลิตทั้งหมดภายในปี 2030 ซึ่งการจะบรรลุเป้าหมายนี้ได้นั้น จำเป็นต้องมีระบบนิเวศของการจัดการแบตเตอรี่ที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพรองรับ
ภาพรวมตลาดรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ในปัจจุบัน
อุตสาหกรรมรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ในประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง แม้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นก็ตาม ปัจจุบันตลาดนี้มีมูลค่าประมาณ 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนและใช้งานในประเทศ
ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทยมีโรงงานรีไซเคิลประมาณ 50 แห่งที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับการจัดการแบตเตอรี่และขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้เทคโนโลยีที่หลากหลายแตกต่างกันไป ตั้งแต่กระบวนการแบบดั้งเดิมไปจนถึงเทคโนโลยีขั้นสูงที่กำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การมีผู้เล่นในตลาดหลายรายสะท้อนให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมสีเขียวนี้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาประสิทธิภาพและมาตรฐานของโรงงานเหล่านี้ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณและประเภทของแบตเตอรี่ที่จะมีความซับซ้อนมากขึ้นในอนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพ
สรุป: อนาคตที่ยั่งยืนของยานยนต์ไฟฟ้า
คำถามที่ว่า E-Bike เก่าไปไหน? อนาคตการรีไซเคิลแบตเตอรี่ EV ในประเทศไทย กำลังนำไปสู่คำตอบที่ชัดเจนขึ้นผ่านความพยายามของทุกภาคส่วน แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่หมดอายุการใช้งาน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเพียงขยะอิเล็กทรอนิกส์อันตราย กำลังจะกลายเป็นแหล่งทรัพยากรที่สำคัญภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน แม้จะยังมีความท้าทายทั้งในด้านกฎหมาย ระบบการจัดเก็บ และเทคโนโลยี แต่ทิศทางของประเทศกำลังมุ่งไปสู่การสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
การเร่งพัฒนากฎหมายที่ชัดเจน การนำหลักการ EPR มาปรับใช้ และการส่งเสริมนวัตกรรมการรีไซเคิล คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ยุค EV ของไทยเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง การรีไซเคิลแบตเตอรี่ไม่เพียงแต่ช่วยลดปัญหามลพิษ แต่ยังสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบ ทำให้อุตสาหกรรมนี้กลายเป็นหนึ่งในธุรกิจดาวรุ่งแห่งอนาคตที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
สำหรับผู้ที่สนใจในเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าและกำลังมองหาจักรยานไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-Bike หลากหลายประเภท ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการในการเดินทางอย่างยั่งยืน สามารถเยี่ยมชมสินค้าและรับคำปรึกษาได้ที่ FACEBOOK PAGE, LINE หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์
