ขี่ E-Bike ได้ ‘คาร์บอนเครดิต’? เทรนด์ใหม่ภาครัฐที่ต้องรู้
- ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
- เจาะลึกแนวคิด: ขี่ E-Bike ได้ ‘คาร์บอนเครดิต’?
- ทำความเข้าใจ ‘คาร์บอนเครดิต’ กลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน
- จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) กับการสร้างคาร์บอนเครดิต: เชื่อมโยงกันอย่างไร?
- กรณีศึกษาและแนวปฏิบัติจริงในประเทศไทย
- นโยบายส่งเสริมจากต่างประเทศ: บทเรียนจากฝรั่งเศส
- ตารางเปรียบเทียบ: ยานพาหนะทั่วไป vs. E-Bike ในการลดคาร์บอน
- ความเป็นไปได้และอนาคตของนโยบายนี้ในประเทศไทย
- บทสรุป: อนาคตของการเดินทางที่ยั่งยืนและโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ
แนวคิดเรื่องการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังได้รับความสนใจทั่วโลก โดยเฉพาะการใช้จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ในการสร้างรายได้ผ่านกลไก “คาร์บอนเครดิต” บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของเทรนด์ดังกล่าวในประเทศไทย
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
- คาร์บอนเครดิตคืออะไร: คาร์บอนเครดิต คือสิทธิที่เกิดจากการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสามารถนำไปซื้อขายในตลาดได้ โดย 1 เครดิตเท่ากับการลดก๊าซ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
- E-Bike กับการลดคาร์บอน: การใช้จักรยานไฟฟ้าแทนยานพาหนะที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สามารถนำมาคำนวณเพื่อขอรับรองเป็นคาร์บอนเครดิตได้
- กลไกในประเทศไทย: ประเทศไทยมีโครงการ T-VER ที่บริหารโดยองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เพื่อรับรองกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศ ทำให้แนวคิดนี้มีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ
- โมเดลจากภาคธุรกิจ: บริษัทในไทยเริ่มนำร่องโครงการที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และคาร์บอนเครดิตแล้ว เช่น โครงการรถโดยสารไฟฟ้าของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อตลาด
- แนวโน้มในอนาคต: นโยบายภาครัฐอาจผลักดันให้การใช้ E-Bike ส่วนบุคคลสามารถเข้าร่วมโครงการคาร์บอนเครดิตได้ในอนาคต เพื่อส่งเสริมเป้าหมายการลดโลกร้อนและสร้างเศรษฐกิจสีเขียว
เจาะลึกแนวคิด: ขี่ E-Bike ได้ ‘คาร์บอนเครดิต’?
คำถามที่ว่า ขี่ E-Bike ได้ ‘คาร์บอนเครดิต’? เทรนด์ใหม่ภาครัฐที่ต้องรู้ กำลังกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่สำคัญในแวดวงพลังงานและสิ่งแวดล้อม แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนหลักการที่ว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทางจากยานพาหนะสันดาปภายในมาสู่จักรยานไฟฟ้า เป็นการกระทำที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างเป็นรูปธรรม การลดลงของก๊าซดังกล่าวสามารถถูกวัดผลและรับรองให้กลายเป็น “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายได้ เทรนด์นี้ไม่เพียงสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานทั่วไปและภาคธุรกิจสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากการเลือกใช้พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นแนวทางที่ภาครัฐในหลายประเทศรวมถึงไทยกำลังให้ความสนใจอย่างยิ่ง
ทำความเข้าใจ ‘คาร์บอนเครดิต’ กลไกสำคัญสู่ความยั่งยืน
ก่อนจะลงลึกถึงความเชื่อมโยงกับจักรยานไฟฟ้า การทำความเข้าใจพื้นฐานของคาร์บอนเครดิตเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพรวมของกลไกที่ขับเคลื่อนแนวคิดนี้ทั้งหมด
คาร์บอนเครดิตคืออะไร?
คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คือหน่วยวัดที่ใช้แทนปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากกิจกรรมหรือโครงการต่างๆ โดยมีหน่วยเป็น “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า” (tCO2e) กล่าวคือ 1 คาร์บอนเครดิต จะมีค่าเท่ากับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
กลไกนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ภาคส่วนต่างๆ หันมาลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม องค์กรหรือโครงการที่สามารถลดการปล่อยก๊าซได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับคาร์บอนเครดิตเป็นผลตอบแทน ซึ่งเครดิตนี้สามารถนำไปขายให้กับองค์กรอื่นที่ต้องการชดเชยการปล่อยก๊าซของตนเองที่ไม่สามารถลดได้ตามเป้าหมาย ทำให้เกิดเป็น “ตลาดคาร์บอน” ขึ้นมา
โครงการ T-VER: มาตรฐานคาร์บอนเครดิตของไทย
สำหรับประเทศไทย กลไกการรับรองคาร์บอนเครดิตที่สำคัญคือ โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) หรือที่รู้จักกันในชื่อ T-VER โครงการนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.
เป้าหมายหลักของ T-VER คือการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนในประเทศ ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน มีส่วนร่วมในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมและสมัครใจ โดยมีกระบวนการและมาตรฐานในการขึ้นทะเบียน รับรอง และตรวจสอบโครงการที่โปร่งใสและเชื่อถือได้ ทำให้คาร์บอนเครดิตที่เกิดขึ้นจากโครงการ T-VER เป็นที่ยอมรับและสามารถนำไปใช้ชดเชยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร หรือซื้อขายในตลาดคาร์บอนภายในประเทศได้
จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) กับการสร้างคาร์บอนเครดิต: เชื่อมโยงกันอย่างไร?
ความเชื่อมโยงระหว่างการขี่จักรยานไฟฟ้ากับการสร้างคาร์บอนเครดิตตั้งอยู่บนหลักการของการ “ลดการปล่อยก๊าซ” (Emission Reduction) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของกลไกคาร์บอนเครดิต
หลักการทำงาน: E-Bike ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างไร
ยานพาหนะส่วนบุคคลส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่เผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น น้ำมันเบนซินและดีเซล ซึ่งกระบวนการนี้จะปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ออกมาสู่ชั้นบรรยากาศโดยตรง ในทางกลับกัน จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ทำให้ในระหว่างการใช้งาน ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากตัวรถเลย (Zero Tailpipe Emissions)
ดังนั้น ทุกครั้งที่มีการเลือกใช้ E-Bike แทนการใช้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมัน เท่ากับว่าผู้ใช้งานได้ “หลีกเลี่ยง” การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ควรจะเกิดขึ้น ปริมาณก๊าซที่หลีกเลี่ยงได้นี้สามารถคำนวณได้โดยเปรียบเทียบกับค่าการปล่อยก๊าซเฉลี่ยของยานพาหนะทั่วไปในระยะทางที่เท่ากัน เมื่อรวบรวมข้อมูลการใช้งานจากผู้ใช้จำนวนมาก ปริมาณก๊าซที่ลดได้ทั้งหมดจะสามารถนำไปขอรับรองเป็นคาร์บอนเครดิตภายใต้โครงการอย่าง T-VER ได้
โอกาสทางธุรกิจและตลาดคาร์บอนเครดิตที่กำลังเติบโต
แนวคิดนี้ได้สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ที่น่าสนใจ ผู้ประกอบการในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าสามารถพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อรวบรวมข้อมูลการเดินทางของผู้ใช้ E-Bike เช่น ระยะทาง ความถี่ในการใช้งาน แล้วนำข้อมูลเหล่านี้ไปคำนวณปริมาณคาร์บอนที่ลดได้เพื่อยื่นขอคาร์บอนเครดิต จากนั้นอาจแบ่งปันผลประโยชน์กลับคืนสู่ผู้ใช้งานในรูปแบบของส่วนลดหรือสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการใช้งานอย่างต่อเนื่อง
ตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแรงผลักดันของนโยบายภาครัฐที่มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ทำให้ความต้องการคาร์บอนเครดิตเพื่อการชดเชยเพิ่มสูงขึ้น
กรณีศึกษาและแนวปฏิบัติจริงในประเทศไทย
แม้ว่าโครงการคาร์บอนเครดิตสำหรับผู้ใช้ E-Bike รายย่อยจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่ในระดับมหภาค ประเทศไทยได้เริ่มเห็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้าและการสร้างคาร์บอนเครดิตที่เป็นรูปธรรมแล้ว
โมเดลจาก บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) และรถโดยสารไฟฟ้า
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือโครงการรถโดยสารไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ซึ่งไม่เพียงแต่ให้บริการขนส่งสาธารณะที่สะอาดและทันสมัย แต่ยังเป็นโครงการนำร่องในการแปลงผลการลดก๊าซเรือนกระจกไปเป็นคาร์บอนเครดิตเพื่อขายในตลาดระหว่างประเทศ ภายใต้กรอบความร่วมมือไทย-สวิตเซอร์แลนด์ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) มาตรา 6.2
ความสำเร็จของโครงการนี้พิสูจน์ให้เห็นว่า ภาคการขนส่งที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสามารถสร้างรายได้จากตลาดคาร์บอนได้จริง และเป็นต้นแบบที่สำคัญซึ่งสามารถปรับใช้กับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ รวมถึงจักรยานไฟฟ้าในอนาคต
การเติบโตของธุรกิจ E-Bike และคาร์บอนเครดิต: กรณีศึกษาจาก OTO
ในฝั่งของภาคเอกชนที่มุ่งเน้นตลาด E-Bike โดยตรง บริษัท วันทูวัน คอนแทคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ OTO ได้ประกาศแผนการขยายธุรกิจเข้าสู่ E-Bike และคาร์บอนเครดิตอย่างชัดเจน โดยมองว่านี่คือธุรกิจ S-Curve ใหม่ของบริษัท การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อศักยภาพของตลาด E-Bike และความสามารถในการสร้างรายได้จากคาร์บอนเครดิตควบคู่กันไป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นผลประกอบการที่เป็นรูปธรรมมากขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2566 เป็นต้นไป
นโยบายส่งเสริมจากต่างประเทศ: บทเรียนจากฝรั่งเศส
เพื่อมองภาพอนาคตของนโยบายในประเทศไทย การศึกษาตัวอย่างจากต่างประเทศที่เริ่มดำเนินการไปแล้วสามารถให้บทเรียนและแนวทางที่น่าสนใจได้
มาตรการอุดหนุนเพื่อกระตุ้นการใช้งาน
รัฐบาลฝรั่งเศสเป็นหนึ่งในผู้นำด้านนโยบายส่งเสริมการใช้จักรยานไฟฟ้าอย่างจริงจัง โดยได้ออกมาตรการมอบเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 4,000 ยูโร (ประมาณ 150,000 บาท) ให้กับประชาชนที่มีรายได้น้อยที่ต้องการเปลี่ยนจากรถยนต์เก่ามาใช้จักรยานไฟฟ้า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทาง ลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคล และส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ผลลัพธ์เชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
นโยบายของฝรั่งเศสไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษทางอากาศในเมืองใหญ่ แต่ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงการเดินทางที่สะอาดและประหยัดสำหรับผู้มีรายได้น้อยอีกด้วย แนวทางนี้แสดงให้เห็นว่าการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการผลักดันให้เกิดการยอมรับและใช้งาน E-Bike ในวงกว้าง ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเพื่อต่อยอดไปสู่โครงการคาร์บอนเครดิตในระดับประเทศได้
ตารางเปรียบเทียบ: ยานพาหนะทั่วไป vs. E-Bike ในการลดคาร์บอน
| คุณสมบัติ | รถยนต์สันดาป (Eco Car) | รถจักรยานยนต์สันดาป | จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) |
|---|---|---|---|
| การปล่อย CO2 (โดยประมาณ) | 100–120 กรัม/กม. | 45–55 กรัม/กม. | 0 กรัม/กม. (ขณะใช้งาน) |
| ค่าพลังงาน (โดยประมาณ) | 2.0–2.5 บาท/กม. | 0.7–1.0 บาท/กม. | 0.05–0.10 บาท/กม. |
| ศักยภาพในการสร้างคาร์บอนเครดิต | ไม่มี (เป็นผู้ปล่อย) | ไม่มี (เป็นผู้ปล่อย) | สูง (เป็นผู้ลด) |
| ผลกระทบต่อมลพิษทางอากาศ (PM2.5) | มีส่วนในการสร้าง | มีส่วนในการสร้าง | ไม่มี |
ความเป็นไปได้และอนาคตของนโยบายนี้ในประเทศไทย
เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ทั้งกลไก T-VER ที่มีอยู่, ความสำเร็จของโครงการนำร่อง, และแรงผลักดันจากนโยบายระดับโลก แนวโน้มที่ภาครัฐจะส่งเสริมนโยบาย “ขี่ E-Bike ได้คาร์บอนเครดิต” จึงมีความเป็นไปได้สูงในอนาคตอันใกล้
ความท้าทายและอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม การจะทำให้นโยบายนี้เกิดขึ้นจริงในระดับผู้ใช้งานรายย่อยยังคงมีความท้าทายหลายประการ:
- การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล: การสร้างระบบที่น่าเชื่อถือเพื่อติดตาม, รวบรวม, และตรวจสอบ (MRV – Monitoring, Reporting, and Verification) ระยะทางการใช้งาน E-Bike ของประชาชนจำนวนมากเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย
- ต้นทุนการดำเนินโครงการ: ค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนและตรวจสอบโครงการกับ อบก. อาจยังสูงเกินไปสำหรับโครงการที่รวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้รายย่อย ซึ่งอาจต้องอาศัยตัวกลาง (Aggregator) ที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาบริหารจัดการ
- การสร้างความตระหนักรู้: ประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความเข้าใจเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตและกลไกการทำงาน การสื่อสารและให้ความรู้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้เกิดการยอมรับและมีส่วนร่วม
แนวโน้มและสิ่งที่ต้องจับตามองในปี 2569 และอนาคต
คาดการณ์ว่าภายในปี 2569 อาจได้เห็นความชัดเจนมากขึ้นจากภาครัฐในการออกมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลที่เชื่อมโยงกับกลไกคาร์บอนเครดิต สิ่งที่น่าจับตามองคือ:
- นโยบายอุดหนุน: ภาครัฐอาจออกมาตรการอุดหนุนราคา E-Bike หรือให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี คล้ายกับโมเดลของฝรั่งเศส เพื่อเร่งให้เกิดการใช้งานในวงกว้าง
- แพลตฟอร์มดิจิทัล: การพัฒนาแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มกลางโดยภาครัฐหรือเอกชน เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการบันทึกข้อมูลการเดินทางและคำนวณคาร์บอนที่ลดได้โดยอัตโนมัติ
- การมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ: บริษัทผู้ผลิตและจำหน่าย E-Bike จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวกลางรวบรวมข้อมูลและบริหารจัดการโครงการคาร์บอนเครดิตให้กับลูกค้าของตนเอง
บทสรุป: อนาคตของการเดินทางที่ยั่งยืนและโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ
สรุปได้ว่า แนวคิด ขี่ E-Bike ได้ ‘คาร์บอนเครดิต’ ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นเทรนด์ใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นและมีความเป็นไปได้สูงที่จะกลายเป็นนโยบายสำคัญของภาครัฐในอนาคต การใช้จักรยานไฟฟ้าไม่เพียงแต่เป็นการเดินทางที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสร้างสินทรัพย์ดิจิทัลในรูปแบบของคาร์บอนเครดิต ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการลดโลกร้อนของประเทศและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ไปพร้อมกัน แม้จะยังมีความท้าทายอยู่บ้าง แต่ด้วยโครงสร้างพื้นฐานอย่างโครงการ T-VER และตัวอย่างความสำเร็จจากภาคธุรกิจ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางดังกล่าว
สำหรับผู้ที่สนใจเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงและต้องการเริ่มต้นการเดินทางที่ยั่งยืน การเลือกใช้จักรยานไฟฟ้าคุณภาพดีคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ GIANT Shopping Mall เป็นศูนย์รวมจำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเดินทางยุคใหม่
สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญผ่าน LINE และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ได้โดยตรง
