รัฐหนุน E-Bike? ส่องนโยบายลดหย่อนภาษีที่อาจมาถึง
- ทำไมการสนับสนุน E-Bike จึงเป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน?
- นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ: จาก EV 3.0 สู่ EV 3.5
- ความเป็นไปได้ของมาตรการ “ลดหย่อนภาษีจักรยานไฟฟ้า”
- ข้อดีของการใช้ E-Bike: ประโยชน์ต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม
- ความท้าทายและทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
- สรุป: อนาคตของ E-Bike ในไทยกับแรงหนุนจากภาครัฐ
ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ยานยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลขนาดเล็กอย่างจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางนโยบายของภาครัฐไทยที่มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจัง
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- นโยบายภาครัฐไทย โดยเฉพาะมาตรการ EV 3.5 ได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสัญญาณบวกต่อตลาด E-Bike
- รัฐบาลตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตและยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าใหม่จนถึง 100% ภายในปี 2578 (2035)
- มาตรการหลักที่ใช้ขับเคลื่อนตลาดคือ เงินอุดหนุน EV และการลดภาษีสรรพสามิต เพื่อทำให้ราคาจำหน่ายยานยนต์ไฟฟ้าเข้าถึงง่ายขึ้น
- มีแนวโน้มความเป็นไปได้สูงที่ภาครัฐจะขยายมาตรการสนับสนุนทางการเงิน เช่น ลดหย่อนภาษีจักรยานไฟฟ้า หรือเงินอุดหนุนโดยตรง ในช่วงปี 2569-2570 เพื่อกระตุ้นตลาด E-Bike ให้เติบโต
- การเปลี่ยนมาใช้ E-Bike ไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่ยังมีส่วนสำคัญในการลดปัญหามลพิษทางอากาศและเสียงในเขตเมือง
ประเด็นคำถามที่ว่า รัฐหนุน E-Bike? ส่องนโยบายลดหย่อนภาษีที่อาจมาถึง กำลังกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างสูงในแวดวงผู้บริโภคและผู้ประกอบการ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดในอนาคต การสนับสนุนจากภาครัฐไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อ แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนถึงการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม การวิเคราะห์แนวโน้มและนโยบายที่มีอยู่จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้เห็นภาพรวมของโอกาสและความเป็นไปได้ที่ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนไทยในไม่ช้า
ทำไมการสนับสนุน E-Bike จึงเป็นเรื่องสำคัญในปัจจุบัน?
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหามลพิษในเมืองใหญ่ การเปลี่ยนผ่านสู่รูปแบบการเดินทางที่ยั่งยืนจึงไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป แต่เป็นความจำเป็นเร่งด่วน สำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะในเขตเมืองที่มีการจราจรหนาแน่นและปัญหามลพิษทางอากาศสะสม การส่งเสริมการใช้ยานพาหนะไฟฟ้าส่วนบุคคลขนาดเล็กอย่าง E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ถือเป็นหนึ่งในทางออกที่มีประสิทธิภาพและสามารถเริ่มต้นได้ทันที
ความสำคัญของการสนับสนุน E-Bike ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงมิติด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงมิติทางเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย ในด้านเศรษฐกิจ การเข้าถึง E-Bike ที่ง่ายขึ้นจากมาตรการของรัฐ เช่น การลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุน จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางประจำวันของประชาชนได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงของรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ทั่วไป นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ สร้างอุตสาหกรรมใหม่ที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิต การประกอบ และการบำรุงรักษา E-Bike
ในด้านสังคม E-Bike เปิดโอกาสให้ผู้คนหลากหลายกลุ่ม โดยเฉพาะคนวัยทำงาน นักเรียน นักศึกษา และผู้ประกอบอาชีพเดลิเวอรี่ สามารถเข้าถึงยานพาหนะที่มีความคล่องตัวสูง เหมาะกับการเดินทางระยะใกล้ถึงปานกลางในเมือง ช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นจากการลดมลพิษทางเสียง ดังนั้น นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐจึงเป็นกลไกสำคัญที่จะเร่งให้เกิดการยอมรับและใช้งาน E-Bike ในวงกว้าง ซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ: จาก EV 3.0 สู่ EV 3.5
รัฐบาลไทยได้แสดงเจตนารมณ์ที่ชัดเจนในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค ผ่านการออกมาตรการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มต้นจากมาตรการ EV 3.0 และต่อยอดมาสู่มาตรการ EV 3.5 ในปัจจุบัน ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งและครบวงจร
มาตรการ EV 3.5 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2570 มุ่งเน้นการส่งเสริมทั้งด้านอุปทาน (ผู้ผลิต) และอุปสงค์ (ผู้บริโภค) โดยมีกลไกสำคัญคือการให้ เงินอุดหนุน EV และสิทธิประโยชน์ทางภาษี สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการ รัฐจะให้เงินอุดหนุนในอัตราสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อคัน ควบคู่ไปกับการลดอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งช่วยทำให้ราคาจำหน่ายสุดท้ายถูกลงและจูงใจให้ผู้บริโภคตัดสินใจ ซื้อ e-bike หรือรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น
นอกจากการสนับสนุนด้านราคาแล้ว นโยบายรถไฟฟ้า ของรัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตต้องมีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญในประเทศและมีแผนการลงทุนที่ชัดเจน เพื่อส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น สถานีอัดประจุไฟฟ้า และศูนย์บริการ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่ามาตรการเหล่านี้ได้ปูทางไว้สำหรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท และเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การขยายผลไปสู่การสนับสนุน E-Bike มีความเป็นไปได้สูงในอนาคต
เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์: อนาคตยานยนต์ไฟฟ้าไทย
เพื่อให้ทิศทางการพัฒนามีความชัดเจนและวัดผลได้ ภาครัฐได้กำหนดเป้าหมายเชิงปริมาณสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศ เป้าหมายดังกล่าวถูกแบ่งออกเป็นระยะต่างๆ เพื่อให้ผู้ประกอบการและผู้บริโภคสามารถปรับตัวและวางแผนได้อย่างเหมาะสม
| ปี พ.ศ. (ค.ศ.) | เป้าหมายสัดส่วนการผลิต | เป้าหมายสัดส่วนยอดจดทะเบียนใหม่ |
|---|---|---|
| 2568 (2025) | 10% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด | 10% ของยอดจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด |
| 2573 (2030) | 30% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด | 40% ของยอดจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด |
| 2578 (2035) | 50% ของปริมาณการผลิตทั้งหมด | 100% ของยอดจดทะเบียนใหม่ทั้งหมด |
จากตารางจะเห็นได้ว่า เป้าหมายมีความท้าทายและต้องการแรงขับเคลื่อนอย่างมาก โดยเฉพาะเป้าหมายในปี 2578 ที่ต้องการให้ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ใหม่ทั้งหมดเป็นยานยนต์ไฟฟ้า 100% การบรรลุเป้าหมายเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัย มาตรการรัฐ EV ที่ครอบคลุมและต่อเนื่อง ซึ่งการสนับสนุนยานพาหนะไฟฟ้าส่วนบุคคลประเภทอื่น ๆ เช่น E-Bike ก็เป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่จะช่วยเติมเต็มภาพรวมและเร่งให้การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดขึ้นได้เร็วยิ่งขึ้น
ความเป็นไปได้ของมาตรการ “ลดหย่อนภาษีจักรยานไฟฟ้า”
หลังจากที่มาตรการสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรม คำถามถัดมาคือ “แล้วจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ล่ะ?” จากข้อมูลและการวิเคราะห์แนวโน้ม พบว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ภาครัฐจะพิจารณาออกมาตรการสนับสนุนสำหรับ E-Bike โดยเฉพาะในช่วงปี 2568-2569 ซึ่งเป็นช่วงที่ เทรนด์ EV 2569 กำลังจะมาถึง และสังคมเริ่มคุ้นเคยกับยานพาหนะไฟฟ้ามากขึ้น
รูปแบบการสนับสนุนที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ลดหย่อนภาษีจักรยานไฟฟ้า ซึ่งเป็นมาตรการที่รัฐบาลสามารถนำมาใช้ได้ง่ายและตรงกลุ่มเป้าหมายผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กลไกดังกล่าวอาจคล้ายคลึงกับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมา เช่น โครงการ Easy E-Receipt ที่ให้ผู้ซื้อสินค้านำใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ไปใช้ลดหย่อนภาษีได้ หากมีการนำ E-Bike เข้ามาเป็นหนึ่งในสินค้าที่สามารถใช้สิทธิ์ได้ จะเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ประชาชนตัดสินใจซื้อ E-Bike มากขึ้นทันที เนื่องจากเป็นการช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของได้ทางอ้อม
มีการพูดถึงแนวทางการสนับสนุนการซื้อ E-Bike ผ่านโครงการลดหย่อนภาษีในปี 2568 โดยอาจผนวกเข้ากับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรูปแบบใหม่อย่าง Easy E-Receipt 2.0 ซึ่งจะทำให้การเป็นเจ้าของยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กง่ายขึ้นสำหรับประชาชนทั่วไป
ข้อดีของมาตรการลดหย่อนภาษีคือ รัฐไม่ต้องเสียงบประมาณในการให้เงินอุดหนุนโดยตรง แต่เป็นการใช้เครื่องมือทางภาษีเพื่อชี้นำพฤติกรรมผู้บริโภคไปในทิศทางที่ต้องการ ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและการลดการใช้พลังงานฟอสซิลของประเทศ อย่างไรก็ตาม ความชัดเจนของนโยบายนี้ยังคงต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
กลไกการลดหย่อนภาษีและเงินอุดหนุนทำงานอย่างไร?
เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบของมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐได้ดียิ่งขึ้น การเปรียบเทียบระหว่าง “การลดหย่อนภาษี” และ “เงินอุดหนุนโดยตรง” จะช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างของกลไกทั้งสองรูปแบบ ซึ่งอาจถูกนำมาปรับใช้กับตลาด E-Bike ในอนาคต
| คุณสมบัติ | การลดหย่อนภาษี (Tax Deduction) | เงินอุดหนุนโดยตรง (Direct Subsidy) |
|---|---|---|
| รูปแบบการทำงาน | ผู้ซื้อชำระราคาเต็ม และนำใบเสร็จไปยื่นลดหย่อนภาษี ณ สิ้นปีภาษี | ผู้ซื้อได้รับส่วนลดทันที ณ จุดจำหน่าย โดยรัฐบาลจะจ่ายเงินส่วนต่างให้ผู้ขาย |
| กลุ่มเป้าหมายหลัก | ผู้มีเงินได้และมีภาระต้องเสียภาษี | ผู้ซื้อทุกคน ไม่ว่าจะมีภาระทางภาษีหรือไม่ |
| ผลกระทบต่อราคา | ลดภาระทางการเงินทางอ้อม ผู้ซื้อยังคงต้องจ่ายราคาเต็มไปก่อน | ลดราคาจำหน่าย ณ จุดขายโดยตรง ทำให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น |
| บทบาทของภาครัฐ | กำหนดเงื่อนไขและตรวจสอบสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี | จัดสรรงบประมาณและจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ |
ทั้งสองมาตรการมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การลดหย่อนภาษีอาจเข้าถึงกลุ่มคนทำงานในระบบได้ดี ในขณะที่เงินอุดหนุนโดยตรงสามารถกระตุ้นตลาดในวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจเลือกใช้มาตรการใดมาตรการหนึ่ง หรือใช้ทั้งสองอย่างควบคู่กัน จะขึ้นอยู่กับเป้าหมายและงบประมาณของภาครัฐในขณะนั้น
ข้อดีของการใช้ E-Bike: ประโยชน์ต่อผู้ใช้และสิ่งแวดล้อม
การที่ภาครัฐพิจารณาให้การสนับสนุน E-Bike นั้นมีเหตุผลมาจากประโยชน์ที่หลากหลาย ทั้งต่อตัวผู้ใช้งานเองและต่อสังคมโดยรวม ซึ่งสามารถสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้
- ประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย: E-Bike ใช้พลังงานไฟฟ้าซึ่งมีต้นทุนต่อกิโลเมตรที่ต่ำกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมาก ผู้ใช้งานสามารถประหยัดค่าเดินทางในแต่ละเดือนได้อย่างชัดเจน อีกทั้งยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจิปาถะ เช่น ค่าที่จอดรถในบางพื้นที่
- เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: E-Bike ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือมลพิษทางอากาศอื่น ๆ จากท่อไอเสียโดยตรง การใช้งานที่แพร่หลายขึ้นจะช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 และก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของภาวะโลกร้อน
- ลดมลพิษทางเสียง: มอเตอร์ไฟฟ้าของ E-Bike ทำงานเงียบกว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในมาก การสัญจรด้วย E-Bike ช่วยลดปัญหามลพิษทางเสียงในเขตเมือง ทำให้สภาพแวดล้อมน่าอยู่และสงบสุขมากขึ้น
- ค่าบำรุงรักษาต่ำ: โครงสร้างของมอเตอร์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือของเหลวอื่น ๆ บ่อยครั้ง ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตลอดอายุการใช้งานต่ำกว่ารถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันอย่างเห็นได้ชัด
- ส่งเสริมสุขภาพ: แม้จะมีระบบช่วยผ่อนแรง แต่ผู้ใช้งานยังคงต้องออกแรงปั่น ซึ่งถือเป็นการออกกำลังกายในระดับเบาถึงปานกลาง ช่วยส่งเสริมให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น
ด้วยประโยชน์ที่ครอบคลุมหลายมิติเหล่านี้ การทำให้ E-Bike เป็นตัวเลือกที่เข้าถึงง่ายสำหรับคนไทยจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับอนาคตที่ยั่งยืนของประเทศ
ความท้าทายและทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
แม้ว่าแนวโน้มของยานยนต์ไฟฟ้าจะสดใส แต่การเปลี่ยนผ่านนี้ยังคงมีความท้าทายอยู่หลายประการ จากผลสำรวจพบว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศกว่า 53% มองว่าประเด็นด้านการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุด ซึ่งหมายความว่าอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวครั้งใหญ่ ทั้งในด้านเทคโนโลยีการผลิต การจัดการแบตเตอรี่ที่ใช้แล้ว และการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีใหม่
ภาครัฐเองก็ตระหนักถึงความท้าทายเหล่านี้และได้ดำเนินมาตรการสนับสนุนควบคู่ไปด้วย เช่น การที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดให้รถจักรยานยนต์ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันปัญหามลพิษจากการลักลอบนำเข้ามาแยกชิ้นส่วน และส่งเสริมให้ตลาดเติบโตด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน
สำหรับ E-Bike ความท้าทายอาจอยู่ที่การสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัย การจัดการแบตเตอรี่ และการหาจุดบริการซ่อมบำรุงที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม ด้วยโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อนและการที่สามารถชาร์จไฟได้จากปลั๊กไฟบ้านทั่วไป ทำให้ E-Bike มีข้อได้เปรียบในด้านความสะดวกและมีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคได้ไม่ยาก หากมีแรงจูงใจด้านราคาจากภาครัฐเข้ามาเสริม
สรุป: อนาคตของ E-Bike ในไทยกับแรงหนุนจากภาครัฐ
โดยสรุปแล้ว ทิศทางนโยบายของรัฐบาลไทยกำลังมุ่งหน้าสู่การส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ การดำเนินมาตรการ EV 3.5 ที่เน้นให้เงินอุดหนุนและลดหย่อนภาษีสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ได้สร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเติบโตของตลาดและเป็นรากฐานสำคัญที่ทำให้การขยายการสนับสนุนไปยัง E-Bike มีความเป็นไปได้สูงมากในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2569-2570
มาตรการ ลดหย่อนภาษีจักรยานไฟฟ้า ถือเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสูงในการกระตุ้นตลาดกลุ่มผู้มีรายได้และผู้ที่อยู่ในระบบภาษี ในขณะที่ เงินอุดหนุน EV โดยตรงจะช่วยให้ราคาของ E-Bike เข้าถึงผู้คนในวงกว้างได้ทันที การผสมผสานมาตรการเหล่านี้จะช่วยเร่งให้เป้าหมายการเปลี่ยนผ่านสู่การเดินทางที่ยั่งยืนของประเทศเป็นจริงได้เร็วขึ้น สร้างประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคที่กำลังมองหาทางเลือกในการเดินทางที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อโลกจึงสามารถคาดหวังข่าวดีเกี่ยวกับนโยบายสนับสนุน E-Bike ได้ในอีกไม่นานนี้
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาการเปลี่ยนผ่านสู่การเดินทางที่ยั่งยืนและมองหาจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) หรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าคุณภาพหลากหลายประเภท ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ สามารถเยี่ยมชมและรับคำปรึกษาได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือช่องทาง LINE และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์โดยตรง
