อนาคตกฎหมาย E-Bike: ต้องจดทะเบียนและทำ พ.ร.บ. หรือไม่?
- ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา
- ทำความเข้าใจสถานการณ์กฎหมาย E-Bike ในปัจจุบัน
- เกณฑ์ชี้วัด: E-Bike แบบไหนเข้าข่ายต้องจดทะเบียน
- ขั้นตอนและข้อบังคับ: หาก E-Bike ต้องจดทะเบียน
- ผลกระทบและบทลงโทษ: หากละเลยการปฏิบัติตามกฎหมาย
- ทิศทางในอนาคต: การจัดระเบียบกฎหมาย E-Bike ของภาครัฐ
- สรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ E-Bike
จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย เนื่องจากเป็นทางเลือกการเดินทางที่สะดวก ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม การเติบโตอย่างก้าวกระโดดนี้ได้นำมาซึ่งคำถามสำคัญเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง อนาคตกฎหมาย E-Bike: ต้องจดทะเบียนและทำ พ.ร.บ. หรือไม่? ซึ่งเป็นข้อกังวลหลักสำหรับผู้ใช้งานในปัจจุบันและผู้ที่กำลังพิจารณาเลือกซื้อ ความไม่ชัดเจนของข้อบังคับทำให้เกิดความสับสนและสร้างพื้นที่สีเทาในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยและความรับผิดชอบของผู้ขับขี่บนท้องถนน การทำความเข้าใจเกณฑ์และแนวโน้มของกฎหมายจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณา
- สถานะทางกฎหมายปัจจุบัน: ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่นิยาม “จักรยานไฟฟ้า” โดยเฉพาะ ทำให้การบังคับใช้กฎหมายอิงตามลักษณะของยานพาหนะ ซึ่งหากมีคุณสมบัติเข้าข่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบเดียวกัน
- เกณฑ์การพิจารณา: กำลังมอเตอร์ไฟฟ้าและความเร็วสูงสุดเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินว่า E-Bike คันใดต้องจดทะเบียนและทำ พ.ร.บ. โดยมีเกณฑ์ที่ 250 วัตต์ และ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นตัวชี้วัดสำคัญ
- ผลกระทบต่อผู้ใช้งาน: หาก E-Bike เข้าข่ายต้องจดทะเบียน ผู้ใช้จะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการทำ พ.ร.บ., การต่อภาษีประจำปี และต้องปฏิบัติตามกฎจราจรเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ทั่วไป
- แนวโน้มในอนาคต: ภาครัฐมีแนวโน้มที่จะออกกฎหมายและข้อบังคับที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเพื่อจัดระเบียบ E-Bike โดยอาจมีการจำแนกประเภทยานพาหนะตามสมรรถนะและกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยที่เหมาะสม
ทำความเข้าใจสถานการณ์กฎหมาย E-Bike ในปัจจุบัน
การขยายตัวของตลาดยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ส่งผลให้ E-Bike กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเดินทางในระยะใกล้และกลาง อย่างไรก็ตาม กรอบกฎหมายของไทยในปัจจุบันยังไม่ได้ถูกปรับปรุงให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีนี้ ทำให้เกิด “พื้นที่สีเทา” ทางกฎหมายขึ้น สถานการณ์ปัจจุบันคือยังไม่มีพระราชบัญญัติหรือกฎกระทรวงฉบับใดที่ให้คำนิยามของ “จักรยานไฟฟ้า” หรือ E-Bike ไว้อย่างชัดเจน ทำให้การตีความและการบังคับใช้กฎหมายต้องอาศัยการเทียบเคียงกับกฎหมายที่มีอยู่เดิม คือ พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติการจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งถูกร่างขึ้นก่อนที่ E-Bike จะเป็นที่แพร่หลาย
ความคลุมเครือนี้ส่งผลให้ผู้ใช้งานจำนวนมากเกิดความสับสนว่ายานพาหนะของตนจัดอยู่ในประเภทใด และมีภาระหน้าที่ทางกฎหมายอย่างไรบ้าง เช่น จำเป็นต้องมีใบอนุญาตขับขี่หรือไม่ ต้องสวมหมวกนิรภัยหรือไม่ และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องนำไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกและจัดทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) หรือไม่ ปัญหาเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความไม่แน่นอนให้กับผู้ใช้ แต่ยังเป็นความท้าทายสำหรับเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายในการพิจารณาและดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ ดังนั้น การทำความเข้าใจเกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกประเภทของ E-Bike จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับผู้ใช้ทุกคน
เกณฑ์ชี้วัด: E-Bike แบบไหนเข้าข่ายต้องจดทะเบียน
แม้จะไม่มีกฎหมายระบุถึง E-Bike โดยตรง แต่กรมการขนส่งทางบกได้ใช้เกณฑ์ด้านสมรรถนะ 2 ประการหลักในการพิจารณาว่ายานพาหนะสองล้อที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าคันใดจะถูกจัดว่าเป็น “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งมีผลบังคับให้ต้องจดทะเบียนและทำ พ.ร.บ. ตามกฎหมาย เกณฑ์ดังกล่าวประกอบด้วยกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าและความเร็วสูงสุดของยานพาหนะ
กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า: จุดตัดสินสำคัญ
ปัจจัยแรกที่ใช้ในการจำแนกประเภทคือ “กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า” ตามกฎหมายปัจจุบัน หากยานพาหนะไฟฟ้ามีกำลังมอเตอร์ไม่ต่ำกว่า 250 วัตต์ หรือ 0.25 กิโลวัตต์ จะถูกพิจารณาว่าเข้าข่ายเป็นยานพาหนะที่ต้องจดทะเบียน E-Bike ส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในท้องตลาดสำหรับใช้งานทั่วไป เช่น การปั่นในชีวิตประจำวันหรือการออกกำลังกาย มักจะมีกำลังมอเตอร์ต่ำกว่า 250 วัตต์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม E-Bike รุ่นที่มีสมรรถนะสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า “Pedelec” หรือ “S-Pedelec” ในบางประเทศ อาจมีกำลังมอเตอร์สูงกว่าเกณฑ์นี้ ซึ่งจะทำให้สถานะทางกฎหมายเปลี่ยนไปทันที ผู้ซื้อจึงควรตรวจสอบข้อมูลจำเพาะของมอเตอร์จากผู้ผลิตอย่างละเอียดก่อนตัดสินใจ
ความเร็วสูงสุด: อีกหนึ่งปัจจัยกำหนดสถานะ
ปัจจัยที่สองคือ “ความเร็วสูงสุด” ที่ยานพาหนะสามารถทำได้ หาก E-Bike สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ไม่ต่ำกว่า 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ก็จะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่ต้องจดทะเบียนและทำ พ.ร.บ. เช่นกัน เกณฑ์ความเร็วนี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อแยกยานพาหนะที่ใช้งานบนท้องถนนร่วมกับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ทั่วไปออกจากยานพาหนะที่เคลื่อนที่ช้า เช่น จักรยานธรรมดา E-Bike ที่มีความเร็วสูงย่อมก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงกว่า ดังนั้นจึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกฎหมายจราจรที่เข้มงวดกว่า รวมถึงการมีประกันภัยภาคบังคับเพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยด้วย
สิ่งสำคัญที่ผู้ใช้ต้องทราบคือ หาก E-Bike มีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์เพียงข้อใดข้อหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นกำลังมอเตอร์ตั้งแต่ 250 วัตต์ขึ้นไป หรือ ความเร็วสูงสุดตั้งแต่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ยานพาหนะคันนั้นจะถูกตีความว่าเป็น “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ตามกฎหมายทันที
เมื่อ E-Bike กลายเป็น “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ในทางกฎหมาย
เมื่อ E-Bike มีสมรรถนะเข้าเกณฑ์ที่กำหนด มันจะสูญเสียสถานะความเป็น “จักรยาน” และถูกยกระดับเป็น “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ในทางกฎหมาย ซึ่งหมายความว่าผู้ครอบครองและผู้ขับขี่จะต้องปฏิบัติตามข้อบังคับทุกประการเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปทั่วไป ซึ่งรวมถึง:
- การจดทะเบียน: ต้องนำรถไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อขอรับแผ่นป้ายทะเบียนและสมุดคู่มือจดทะเบียนรถ
- การทำ พ.ร.บ.: ต้องจัดทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร และบุคคลภายนอกที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุ
- การเสียภาษีประจำปี: ต้องชำระภาษีรถประจำปีเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ทั่วไป
- ใบอนุญาตขับขี่: ผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
- การสวมหมวกนิรภัย: ผู้ขับขี่และผู้โดยสารต้องสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่เดินทาง
การเปลี่ยนแปลงสถานะนี้มีผลกระทบอย่างมากต่อทั้งค่าใช้จ่ายและความรับผิดชอบของผู้ใช้งาน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ต้องตรวจสอบคุณสมบัติของ E-Bike ให้แน่ใจก่อนการซื้อและการใช้งานบนท้องถนนสาธารณะ
| คุณสมบัติ | E-Bike (รุ่นพื้นฐาน) | E-Bike (สมรรถนะสูง) / รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า |
|---|---|---|
| กำลังมอเตอร์ | ต่ำกว่า 250 วัตต์ | ตั้งแต่ 250 วัตต์ขึ้นไป |
| ความเร็วสูงสุด | ต่ำกว่า 45 กม./ชม. | ตั้งแต่ 45 กม./ชม. ขึ้นไป |
| สถานะทางกฎหมาย | จักรยาน (อาจมีข้อยกเว้น) | รถจักรยานยนต์ |
| การจดทะเบียน | ไม่ต้อง | ต้องดำเนินการ |
| การทำ พ.ร.บ. | ไม่ต้อง | ต้องดำเนินการ |
| การเสียภาษีประจำปี | ไม่ต้อง | ต้องดำเนินการ |
| ใบอนุญาตขับขี่ | ไม่ต้อง | จำเป็น |
ขั้นตอนและข้อบังคับ: หาก E-Bike ต้องจดทะเบียน
สำหรับเจ้าของ E-Bike ที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า การดำเนินการจดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ กระบวนการนี้อาจดูซับซ้อน แต่หากเตรียมตัวและเอกสารให้พร้อม ก็จะสามารถดำเนินการได้อย่างราบรื่น
เอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการจดทะเบียน
การเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการจดทะเบียน โดยเอกสารหลักที่ต้องใช้ประกอบด้วย:
- เอกสารประจำตัวเจ้าของรถ: สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน (กรณีบุคคลธรรมดา) หรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล (กรณีนิติบุคคล)
- หลักฐานการได้มาซึ่งยานพาหนะ: ประกอบด้วยสัญญาซื้อขาย, ใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษี เพื่อแสดงที่มาและความเป็นเจ้าของอย่างถูกต้อง
- หนังสือแจ้งจำหน่ายจากบริษัทผู้ผลิต: เป็นเอกสารสำคัญที่ยืนยันข้อมูลจำเพาะของรถ เช่น หมายเลขตัวถัง หมายเลขมอเตอร์ และคุณสมบัติทางเทคนิคต่างๆ
- หลักฐานการประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.): ต้องดำเนินการซื้อ พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถให้เรียบร้อยก่อนยื่นจดทะเบียน
- แบบคำขอจดทะเบียนรถ: สามารถขอรับได้ที่สำนักงานขนส่ง หรือดาวน์โหลดล่วงหน้าจากเว็บไซต์ของกรมการขนส่งทางบก
กระบวนการ ณ กรมการขนส่งทางบก
เมื่อเตรียมเอกสารครบถ้วนแล้ว เจ้าของรถจะต้องนำ E-Bike พร้อมเอกสารทั้งหมดไปยื่นเรื่องที่สำนักงานขนส่งทางบกในเขตพื้นที่ที่ตนมีภูมิลำเนาอยู่ หรือสำนักงานขนส่งที่สะดวก ขั้นตอนโดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบสภาพรถโดยเจ้าหน้าที่ตรวจสภาพ เพื่อยืนยันว่ารถมีคุณสมบัติถูกต้องตรงตามเอกสารและมีความปลอดภัยในการใช้งาน จากนั้นจึงเป็นการยื่นเอกสาร ชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ เช่น ค่าคำขอ ค่าแผ่นป้ายทะเบียน และภาษีรถประจำปี เมื่อดำเนินการเสร็จสิ้น เจ้าของรถจะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนและสมุดคู่มือจดทะเบียนรถเป็นหลักฐาน หลังจากนั้นเป็นต้นไป เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องต่ออายุภาษีและ พ.ร.บ. เป็นประจำทุกปี
ผลกระทบและบทลงโทษ: หากละเลยการปฏิบัติตามกฎหมาย
การเพิกเฉยต่อข้อกำหนดในการจดทะเบียนและทำ พ.ร.บ. สำหรับ E-Bike ที่เข้าข่ายเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า อาจนำไปสู่ผลกระทบทางกฎหมายและการเงินที่ร้ายแรง รวมถึงความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่ไม่สามารถประเมินค่าได้
ค่าปรับและบทลงโทษทางกฎหมาย
การนำรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียนมาใช้งานบนทางสาธารณะถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกตรวจสอบและพบว่าไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนและเอกสารการจดทะเบียนที่ถูกต้อง ผู้ขับขี่จะถูกดำเนินคดีและมีโทษปรับตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้ การขาดการต่อภาษีประจำปียังมีบทลงโทษเพิ่มเติม คือค่าปรับในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนของค่าภาษีที่ค้างชำระ และหากปล่อยให้ขาดการต่อภาษีติดต่อกันเกิน 3 ปี ทะเบียนรถจะถูกระงับ ซึ่งจะทำให้กระบวนการนำรถกลับมาใช้งานอย่างถูกต้องมีความยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นไปอีก
ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและการคุ้มครอง
ผลกระทบที่สำคัญยิ่งกว่าบทลงโทษทางกฎหมายคือการขาดความคุ้มครองจาก พ.ร.บ. ซึ่งเป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ หากไม่มี พ.ร.บ. ผู้ขับขี่และผู้ประสบภัย (รวมถึงบุคคลภายนอก) จะไม่ได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น ซึ่งหมายความว่าเจ้าของรถจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาลของตนเอง คู่กรณี หรือค่าชดเชยความเสียหายต่อทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นภาระทางการเงินจำนวนมหาศาล ดังนั้น การทำ พ.ร.บ. จึงไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่เป็นการสร้างความอุ่นใจและหลักประกันความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม
ทิศทางในอนาคต: การจัดระเบียบกฎหมาย E-Bike ของภาครัฐ
ด้วยจำนวนผู้ใช้ E-Bike ที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภาครัฐตระหนักถึงความจำเป็นในการเข้ามาจัดระเบียบและกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อปิดช่องว่างทางกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน แนวโน้มในอนาคตจึงมุ่งเน้นไปที่การสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและส่งเสริมการใช้งานอย่างยั่งยืน
แนวโน้มการออกกฎหมายเฉพาะทาง
คาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายหรือแก้ไขกฎหมายเดิมเพื่อให้มีข้อกำหนดที่ชัดเจนสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กโดยเฉพาะ ซึ่งจะรวมถึงการให้คำนิยามที่แน่นอนของ “จักรยานไฟฟ้า” และยานพาหนะประเภทอื่นๆ เช่น สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า การมีกฎหมายเฉพาะทางจะช่วยลดความสับสนและสร้างมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรมและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ
การจำแนกประเภท E-Bike และมาตรฐานความปลอดภัย
กฎหมายใหม่มีแนวโน้มที่จะจำแนกประเภทของ E-Bike ตามสมรรถนะอย่างละเอียดมากขึ้น โดยอาจมีการยกเว้นข้อกำหนดการจดทะเบียนสำหรับ E-Bike รุ่นพื้นฐานที่มีกำลังมอเตอร์และความเร็วต่ำ ซึ่งออกแบบมาเพื่อการใช้งานในพื้นที่จำกัดหรือบนทางจักรยานโดยเฉพาะ ในขณะเดียวกัน E-Bike รุ่นที่มีสมรรถนะสูงจะถูกควบคุมภายใต้ข้อบังคับที่เข้มงวดขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังอาจมีการกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เช่น ระบบเบรก ไฟส่องสว่าง และโครงสร้างตัวถัง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับ
นอกจากการออกกฎหมายแล้ว นโยบายภาครัฐยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งาน E-Bike และยานพาหนะส่วนบุคคลขนาดเล็กอื่นๆ ให้มีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงการขยายและปรับปรุงทางจักรยานให้ได้มาตรฐาน สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุม และแยกออกจากช่องจราจรของรถยนต์อย่างชัดเจน เพื่อลดโอกาสในการเกิดอุบัติเหตุและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้รูปแบบการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
สรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ใช้ E-Bike
โดยสรุปแล้ว คำถามที่ว่า อนาคตกฎหมาย E-Bike: ต้องจดทะเบียนและทำ พ.ร.บ. หรือไม่? นั้น ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของยานพาหนะเป็นสำคัญ หาก E-Bike มีกำลังมอเตอร์ตั้งแต่ 250 วัตต์ขึ้นไป หรือมีความเร็วสูงสุดตั้งแต่ 45 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป ก็จะเข้าข่ายเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งการจดทะเบียน ทำ พ.ร.บ. และเสียภาษีประจำปี ส่วน E-Bike ที่มีสมรรถนะต่ำกว่าเกณฑ์ดังกล่าวยังคงอยู่ในพื้นที่สีเทา แต่มีแนวโน้มที่จะได้รับการยกเว้นในอนาคต
สำหรับผู้ใช้งานปัจจุบันและผู้ที่สนใจ สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจสอบข้อมูลจำเพาะของ E-Bike ที่ตนครอบครองหรือสนใจจะซื้อให้ละเอียด และปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายอย่างถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษและสร้างความปลอดภัยในการเดินทาง การติดตามข่าวสารเกี่ยวกับนโยบายและกฎหมายใหม่ๆ จากหน่วยงานภาครัฐก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่มีคุณภาพและตอบโจทย์ความต้องการใช้งานในทุกรูปแบบ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมที่พร้อมให้คำแนะนำและจำหน่ายยานพาหนะไฟฟ้าหลากหลายประเภท สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK PAGE, LINE หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม เพื่อเลือกสรรยานพาหนะที่เหมาะสมและใช้งานได้อย่างมั่นใจ
