7 จุดต้องเช็กก่อนขี่ E-Bike เพื่อความปลอดภัยสูงสุด
- ความสำคัญของการตรวจสอบจักรยานไฟฟ้าก่อนใช้งาน
-
เจาะลึก 7 จุดตรวจสอบที่ขาดไม่ได้เพื่อความปลอดภัย
- 1. ตรวจสอบแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า: หัวใจหลักของ E-Bike
- 2. ตรวจสอบระบบเบรก: ความปลอดภัยที่ต้องมาก่อน
- 3. ตรวจสอบลมยางและสภาพล้อ: จุดสัมผัสเดียวบนพื้นถนน
- 4. ตรวจสอบโซ่, จาน, และระบบขับเคลื่อน: ส่งกำลังอย่างราบรื่น
- 5. ตรวจสอบโครงรถและชิ้นส่วนยึดติด: ความมั่นคงในการขับขี่
- 6. ตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): เกราะป้องกันสำคัญ
- 7. ตรวจสอบสภาพแวดล้อมและเส้นทาง: เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
- สรุปตารางการตรวจสอบ E-Bike ก่อนการขับขี่
- สร้างนิสัยการตรวจสอบเพื่อการขับขี่ที่ยั่งยืน
จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในฐานะยานพาหนะทางเลือกที่ทั้งสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ด้วยความเร็วและน้ำหนักที่มากกว่าจักรยานทั่วไป การตรวจสอบสภาพรถก่อนใช้งานจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อสร้างความมั่นใจและความปลอดภัยในทุกการเดินทาง
- การตรวจสอบระบบไฟฟ้าและแบตเตอรี่เป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานหลักและอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากชำรุด
- ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับ E-Bike ที่มีความเร็วสูงและน้ำหนักมาก การตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้
- สภาพยางและแรงดันลมที่เหมาะสมส่งผลโดยตรงต่อการควบคุมและเสถียรภาพในการขับขี่
- การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น หมวกกันน็อค ช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุ
- การตระหนักถึงสภาพแวดล้อมและเส้นทางก่อนออกเดินทาง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ความสำคัญของการตรวจสอบจักรยานไฟฟ้าก่อนใช้งาน
การทราบถึง 7 จุดต้องเช็กก่อนขี่ E-Bike เพื่อความปลอดภัยสูงสุด คือขั้นตอนพื้นฐานที่ผู้ใช้งานทุกคนควรปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร จักรยานไฟฟ้ามีความแตกต่างจากจักรยานธรรมดาอย่างมีนัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นจากมอเตอร์และแบตเตอรี่ หรือความเร็วที่ทำได้สูงกว่า การละเลยการตรวจสอบชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่ปัญหาระหว่างการเดินทาง ตั้งแต่รถหยุดทำงานกลางคัน ไปจนถึงการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงได้ การสละเวลาเพียงไม่กี่นาทีก่อนการขับขี่แต่ละครั้งเพื่อสำรวจความพร้อมของตัวรถ จึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้ร่วมใช้เส้นทาง
การตรวจสอบสภาพจักรยานไฟฟ้าไม่ได้เป็นเพียงการป้องกันอุบัติเหตุเท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของส่วนประกอบต่างๆ อีกด้วย การตรวจพบปัญหาเล็กน้อยตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น โซ่แห้งหรือผ้าเบรกสึก จะช่วยให้สามารถบำรุงรักษาได้ทันท่วงที ป้องกันไม่ให้ปัญหานั้นลุกลามจนเกิดความเสียหายที่ใหญ่ขึ้นและมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงตามมา ดังนั้น ผู้ขับขี่ E-Bike ทุกคนควรทำความเข้าใจถึงความสำคัญของเช็กลิสต์นี้ และนำไปปรับใช้เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยให้กับการเดินทางในทุกๆ วัน
เจาะลึก 7 จุดตรวจสอบที่ขาดไม่ได้เพื่อความปลอดภัย
เพื่อให้การขับขี่จักรยานไฟฟ้าเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การตรวจสอบส่วนประกอบหลักทั้ง 7 ส่วนต่อไปนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง
1. ตรวจสอบแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า: หัวใจหลักของ E-Bike
ระบบไฟฟ้าเปรียบเสมือนหัวใจและเส้นเลือดของ E-Bike หากระบบนี้ทำงานผิดพลาด อาจส่งผลกระทบต่อการทำงานทั้งหมดของรถ การตรวจสอบจึงควรทำอย่างละเอียด
- ระดับพลังงานแบตเตอรี่: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแบตเตอรี่มีพลังงานเพียงพอสำหรับระยะทางที่วางแผนไว้ การที่แบตเตอรี่หมดกลางทางไม่เพียงแต่สร้างความไม่สะดวก แต่ยังอาจทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัยได้
- การติดตั้งแบตเตอรี่: ขยับตัวแบตเตอรี่เบาๆ เพื่อตรวจสอบว่ายึดติดกับโครงรถอย่างแน่นหนา ไม่มีการสั่นคลอนหรือหลวม ซึ่งอาจทำให้ขั้วไฟฟ้าหลุดหรือเกิดความเสียหายขณะขับขี่บนทางขรุขระ
- สภาพภายนอกของแบตเตอรี่: สำรวจรอบตัวแบตเตอรี่เพื่อหาร่องรอยความผิดปกติ เช่น อาการบวม, รอยแตกร้าว หรือคราบของเหลวรั่วไหล หากพบสัญญาณเหล่านี้ ควรหยุดใช้งานทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจเป็นอันตรายและเสี่ยงต่อการเกิดไฟไหม้
- สายไฟและจุดเชื่อมต่อ: ไล่สายตาตรวจสอบสายไฟทั้งหมดว่าไม่มีรอยขาด, เปื่อย หรือฉนวนหุ้มสายไฟลอก ตรวจสอบปลั๊กและจุดเชื่อมต่อต่างๆ ว่าเสียบแน่นดีและไม่มีคราบสกปรกหรือสนิม
- หน้าจอแสดงผล: เปิดระบบไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบว่าหน้าจอแสดงผล (Display) ทำงานเป็นปกติ สามารถแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น ความเร็ว, ระดับแบตเตอรี่, และโหมดการขับขี่ ได้อย่างถูกต้อง
การดูแลรักษาแบตเตอรี่อย่างเหมาะสม เช่น หลีกเลี่ยงการชาร์จทิ้งไว้ข้ามคืนเป็นประจำ หรือการใช้งานในขณะที่แบตเตอรี่ร้อนจัด จะช่วยยืดอายุการใช้งานและคงประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้าไว้ได้นานขึ้น
2. ตรวจสอบระบบเบรก: ความปลอดภัยที่ต้องมาก่อน
ด้วยน้ำหนักและความเร็วที่มากกว่าจักรยานทั่วไป ระบบเบรกของ E-Bike จึงต้องทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 100% เพื่อให้สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัยในสถานการณ์ฉุกเฉิน
- ทดสอบการกำเบรก: ลองกำมือเบรกทั้งข้างซ้าย (เบรกหลัง) และข้างขวา (เบรกหน้า) ขณะที่รถจอดนิ่ง ก้านเบรกควรมีระยะยุบตัวที่พอดี ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไปจนกระทั่งชนกับแฮนด์จับ
- ตรวจสอบผ้าเบรก: สำหรับเบรกแบบดิสก์ ให้มองเข้าไปในคาลิปเปอร์เบรกเพื่อดูความหนาของผ้าเบรก หากผ้าเบรกบางเหลือน้อยกว่า 1-2 มิลลิเมตร ควรพิจารณาเปลี่ยนใหม่ สำหรับเบรกแบบ V-Brake ให้ดูร่องบนผ้าเบรก หากร่องเริ่มหายไปแสดงว่าถึงเวลาเปลี่ยน
- สภาพจานเบรกและสายเคเบิล: ตรวจสอบจานเบรก (Disc Rotor) ว่าไม่มีร่องรอยการบิดเบี้ยว คดงอ หรือมีคราบน้ำมันเกาะติด ซึ่งจะลดประสิทธิภาพการเบรกได้ สำหรับระบบเบรกเคเบิล ให้ตรวจสอบว่าสายสลิงไม่มีการแตกเป็นฝอย สำหรับระบบไฮดรอลิก ให้ตรวจสอบสายน้ำมันว่าไม่มีรอยรั่วซึม
- การทดสอบเบรกขณะเคลื่อนที่ช้าๆ: ก่อนออกสู่ถนนจริง ให้ลองขี่ E-Bike ด้วยความเร็วต่ำๆ แล้วลองเบรกเบาๆ ทั้งเบรกหน้าและหลัง เพื่อให้แน่ใจว่าระบบเบรกทำงานได้ตามปกติและไม่มีเสียงดังผิดปกติ
3. ตรวจสอบลมยางและสภาพล้อ: จุดสัมผัสเดียวบนพื้นถนน
ยางและล้อเป็นส่วนประกอบเดียวที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง สภาพของมันจึงส่งผลอย่างมากต่อการควบคุมรถ ความนุ่มนวลในการขับขี่ และความปลอดภัย
- แรงดันลมยาง: ใช้ที่วัดลมเพื่อตรวจสอบแรงดันลมยางให้อยู่ในค่าที่ผู้ผลิตแนะนำ ซึ่งโดยปกติจะระบุไว้ที่แก้มยาง (หน่วยเป็น PSI) ยางที่ลมแข็งเกินไปจะลดการยึดเกาะถนนและทำให้การขับขี่กระด้าง ในขณะที่ยางที่ลมอ่อนเกินไปจะทำให้ขี่ได้ช้าลง สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่มากขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดยางรั่วซึมได้ง่าย
- สภาพหน้ายางและแก้มยาง: หมุนล้อช้าๆ เพื่อสำรวจสภาพยางโดยรอบ มองหาร่องรอยการสึกหรอที่ผิดปกติ, รอยแตกลายงา, รอยบาด หรือเศษแก้ว/หินที่ฝังอยู่ในเนื้อยาง หากพบว่าดอกยางสึกจนเรียบ ควรเปลี่ยนยางใหม่เพื่อประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและรีดน้ำ
- การยึดล้อ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแกนปลดเร็วหรือน็อตยึดล้อทั้งหน้าและหลังถูกขันไว้อย่างแน่นหนา ลองขยับล้อไปทางซ้ายและขวา จะต้องไม่มีการขยับหรือคลอน
- สภาพวงล้อและซี่ลวด: ตรวจสอบว่าวงล้อไม่บิดเบี้ยวหรือคดงอ ซึ่งสามารถสังเกตได้จากการหมุนล้อแล้วดูระยะห่างระหว่างวงล้อกับผ้าเบรก ลองใช้นิ้วบีบซี่ลวดเบาๆ เพื่อตรวจสอบว่าไม่มีซี่ลวดเส้นใดหย่อนหรือขาด
4. ตรวจสอบโซ่, จาน, และระบบขับเคลื่อน: ส่งกำลังอย่างราบรื่น
ระบบขับเคลื่อนทำหน้าที่ส่งกำลังจากมอเตอร์และแรงปั่นไปยังล้อหลัง หากส่วนประกอบเหล่านี้อยู่ในสภาพที่ไม่ดี อาจทำให้การขับขี่ติดขัด, เกิดเสียงดัง หรือโซ่ตก ซึ่งอาจเป็นอันตรายได้
- สภาพโซ่: ตรวจสอบโซ่ว่ามีความสะอาดและมีการหล่อลื่นที่เหมาะสมหรือไม่ โซ่ที่แห้งหรือสกปรกจะทำให้เกิดการสึกหรอของชิ้นส่วนอื่นเร็วขึ้น และทำให้การเปลี่ยนเกียร์ไม่ราบรื่น มองหาสัญญาณของสนิมหรือข้อต่อโซ่ที่ติดขัด
- ความตึงของโซ่: โซ่ไม่ควรหย่อนหรือตึงจนเกินไป ลองกดโซ่บริเวณกึ่งกลางระหว่างจานหน้าและเฟืองหลัง ควรจะสามารถขยับขึ้นลงได้เล็กน้อย (ประมาณครึ่งนิ้ว)
- ฟันจานและเฟือง: ตรวจสอบฟันของจานหน้าและเฟืองหลังว่าไม่มีร่องรอยการสึกหรอที่แหลมคมเหมือน “ฟันฉลาม” หรือมีฟันที่บิ่นหัก ซึ่งเป็นสัญญาณว่าถึงเวลาต้องเปลี่ยน
- การทำงานของมอเตอร์: ขณะทดลองขี่ช้าๆ ให้ลองฟังเสียงการทำงานของมอเตอร์ ควรจะมีเสียงการทำงานที่เรียบสม่ำเสมอ หากมีเสียงดังผิดปกติ, เสียงหอน หรือมีแรงสั่นสะเทือนมาก อาจเป็นสัญญาณของปัญหาภายในมอเตอร์
5. ตรวจสอบโครงรถและชิ้นส่วนยึดติด: ความมั่นคงในการขับขี่
ความมั่นคงของโครงสร้างหลักและส่วนประกอบต่างๆ เป็นพื้นฐานของความปลอดภัยในการควบคุมรถ การตรวจสอบจุดยึดต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
- โครงรถ (Frame): สำรวจโครงรถโดยละเอียด โดยเฉพาะบริเวณรอยเชื่อมต่างๆ เพื่อหาร่องรอยของรอยร้าว, การบิดเบี้ยว หรือความเสียหายอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อความแข็งแรงของตัวรถ
- แฮนด์และคอแฮนด์: ยืนคร่อมล้อหน้าแล้วลองบิดแฮนด์ในขณะที่เบรกล้อหน้าไว้ แฮนด์และคอแฮนด์ไม่ควรมีการขยับหรือหลวมคลอน ตรวจสอบว่าน็อตยึดทุกตัวแน่นดี
- อานและหลักอาน: ตรวจสอบว่าอาน (เบาะนั่ง) ถูกยึดติดกับหลักอานอย่างแน่นหนา และหลักอานถูกยึดกับตัวถังรถอย่างมั่นคง ไม่สามารถขยับหรือหมุนได้
- อุปกรณ์เสริม: ตรวจสอบการทำงานของไฟส่องสว่างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงไฟเบรก (ถ้ามี) ทดสอบเสียงกระดิ่งหรือแตรว่าดังชัดเจน และตรวจสอบว่าบังโคลนหรือตะแกรงท้ายถูกติดตั้งอย่างแข็งแรง
6. ตรวจสอบอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE): เกราะป้องกันสำคัญ
นอกจากการเตรียมความพร้อมของรถแล้ว การเตรียมความพร้อมของผู้ขับขี่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน อุปกรณ์ป้องกันจะช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุ
- หมวกกันน็อค: เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุด ควรเลือกหมวกที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย (เช่น มอก.) และมีขนาดที่พอดีกับศีรษะ สวมใส่และปรับสายรัดคางให้กระชับทุกครั้งก่อนออกเดินทาง
- เสื้อผ้า: เลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่มองเห็นได้ง่าย โดยเฉพาะในเวลากลางคืนหรือสภาพอากาศไม่ดี เสื้อผ้าสีสว่างหรือมีแถบสะท้อนแสงจะช่วยให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นสังเกตเห็นได้ง่ายขึ้น ควรเป็นเสื้อผ้าที่พอดีตัว ไม่รุ่มร่าม เพื่อป้องกันการเข้าไปพันกับโซ่หรือล้อ
- ถุงมือและแว่นตา: การสวมถุงมือช่วยให้จับแฮนด์ได้กระชับขึ้นและยังช่วยป้องกันมือเมื่อเกิดการล้ม แว่นตากันลมหรือกันแดดช่วยป้องกันฝุ่น, แมลง และแสงแดด ไม่ให้รบกวนการมองเห็น
- อุปกรณ์เสริมอื่นๆ: สำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูงหรือในเส้นทางที่มีความเสี่ยง อาจพิจารณาสวมสนับศอกและสนับเข่าเพื่อเพิ่มการป้องกัน
7. ตรวจสอบสภาพแวดล้อมและเส้นทาง: เตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
ความปลอดภัยไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพรถและผู้ขี่เท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกด้วย การประเมินสภาพแวดล้อมล่วงหน้าช่วยให้สามารถเตรียมตัวและตัดสินใจได้ดีขึ้น
- สภาพอากาศ: ตรวจสอบพยากรณ์อากาศก่อนออกเดินทาง หากมีฝนตก, หมอกลงจัด หรือลมแรง ควรใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือพิจารณาเลื่อนการเดินทาง ถนนที่เปียกลื่นจะทำให้ระยะเบรกยาวขึ้น และทัศนวิสัยที่ไม่ดีก็เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ
- สภาพพื้นผิวถนน: ประเมินเส้นทางที่จะใช้ มองหาอุปสรรคที่อาจเป็นอันตราย เช่น หลุมบ่อ, ฝาท่อ, พื้นผิวที่ไม่เรียบ, หรือคราบน้ำมันบนถนน การทราบถึงจุดเสี่ยงล่วงหน้าจะช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงได้อย่างปลอดภัย
- การวางแผนเส้นทาง: หากเป็นไปได้ ควรเลือกใช้เส้นทางที่มีช่องทางสำหรับจักรยานโดยเฉพาะ หรือเส้นทางที่มีการจราจรไม่หนาแน่น เพื่อลดความเสี่ยงในการเผชิญหน้ากับรถยนต์ขนาดใหญ่
- การตระหนักรู้รอบข้าง: ในขณะขับขี่ ควรมีสติและสังเกตการณ์รอบตัวอยู่เสมอ ระวังรถที่ออกจากซอย, คนเดินเท้า, และสิ่งกีดขวางอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
สรุปตารางการตรวจสอบ E-Bike ก่อนการขับขี่
เพื่อความสะดวกในการจดจำและนำไปใช้จริง ตารางด้านล่างนี้ได้สรุป 7 จุดตรวจสอบสำคัญที่ควรทำก่อนขี่ E-Bike ทุกครั้ง
| จุดที่ตรวจสอบ | สิ่งที่ต้องเช็ก | เหตุผลด้านความปลอดภัย |
|---|---|---|
| 1. แบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า | ระดับพลังงาน, การยึดติด, สภาพแบตเตอรี่, สายไฟ | ป้องกันรถดับกลางทางและอันตรายจากไฟฟ้าลัดวงจร |
| 2. ระบบเบรก | การกำเบรก, ความหนาผ้าเบรก, สภาพสายและจานเบรก | เพื่อให้สามารถหยุดรถได้อย่างปลอดภัยและทันท่วงที |
| 3. ลมยางและล้อ | แรงดันลม, สภาพหน้ายาง, การยึดล้อ, วงล้อ | เพื่อการควบคุมที่มั่นคงและป้องกันอุบัติเหตุจากยาง |
| 4. ระบบขับเคลื่อน | สภาพโซ่, ความตึง, ฟันจาน/เฟือง, เสียงมอเตอร์ | เพื่อการส่งกำลังที่ราบรื่นและป้องกันโซ่ตก |
| 5. โครงรถและชิ้นส่วนยึดติด | รอยร้าวบนโครง, ความแน่นของแฮนด์/อาน, ไฟ/กระดิ่ง | ป้องกันการสูญเสียการควบคุมจากชิ้นส่วนที่หลวม |
| 6. อุปกรณ์ป้องกัน (PPE) | หมวกกันน็อค, เสื้อผ้าที่เหมาะสม, ถุงมือ | ลดความรุนแรงของการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุ |
| 7. สภาพแวดล้อมและเส้นทาง | สภาพอากาศ, สภาพถนน, การจราจร | เพื่อเตรียมพร้อมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงภายนอก |
สร้างนิสัยการตรวจสอบเพื่อการขับขี่ที่ยั่งยืน
การตรวจสอบจักรยานไฟฟ้าตามรายการทั้ง 7 จุดนี้ ควรถูกทำให้เป็นนิสัยก่อนการขับขี่ทุกครั้ง การสละเวลาเพียง 3-5 นาทีเพื่อความปลอดภัย ถือเป็นการลงทุนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุ นอกจากนี้ การบำรุงรักษาสภาพจักรยานไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำในคู่มือผู้ใช้ จะช่วยให้ยานพาหนะคู่ใจมีประสิทธิภาพสูงสุดและพร้อมใช้งานอย่างปลอดภัยไปอีกนาน
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike คุณภาพ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมคำแนะนำในการดูแลรักษาอย่างมืออาชีพ สามารถเยี่ยมชมได้ที่ GIANT Shopping Mall ศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าครบวงจร
สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
FACEBOOK PAGE: https://www.facebook.com/giantshoppingmall
LINE: @705dancc
โทรศัพท์: 061-962-2878
เวลาทำการ: วันจันทร์ – เสาร์ (9.00 – 18.00 น.)
ที่ตั้ง: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์
