Checklist! 5 จุดต้องเช็ก E-Bike ก่อนขี่ ปลอดภัยทุกวัน
- หัวใจสำคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง
- ทำไมการตรวจเช็ค E-Bike ก่อนขี่จึงสำคัญอย่างยิ่ง?
- จุดที่ 1: รูปแบบการใช้งานและประเภทของ E-Bike
- จุดที่ 2: ตำแหน่งและประเภทของมอเตอร์
- จุดที่ 3: แบตเตอรี่ – หัวใจของพลังงาน
- จุดที่ 4: โครงสร้างเฟรมและความทนทาน
- จุดที่ 5: ยางและระบบเบรก – จุดสัมผัสแห่งความปลอดภัย
- การตรวจเช็คเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจสูงสุด
- สรุป: สร้างนิสัยการตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัยในทุกเส้นทาง
- ค้นหา E-Bike ที่ใช่และรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike กำลังกลายเป็นพาหนะที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความสะดวกสบายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การขับขี่ทุกครั้งเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย การตรวจเช็คสภาพรถก่อนใช้งานจึงเป็นขั้นตอนที่ไม่อาจละเลยได้
หัวใจสำคัญของการเตรียมความพร้อมก่อนการเดินทาง
การดูแล E-Bike ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน แต่ต้องอาศัยความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด การสละเวลาเพียงไม่กี่นาทีเพื่อตรวจสอบส่วนประกอบสำคัญ สามารถยืดอายุการใช้งานและเพิ่มความปลอดภัยได้อย่างมีนัยสำคัญ ประเด็นสำคัญที่ควรให้ความสนใจมีดังนี้:
- การเลือกประเภทจักรยานและมอเตอร์: การทำความเข้าใจว่า E-Bike ของตนเองถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานแบบใด และมอเตอร์ทำงานอย่างไร เป็นจุดเริ่มต้นของการใช้งานที่ถูกต้องและปลอดภัย
- ความสมบูรณ์ของแบตเตอรี่และโครงสร้าง: แบตเตอรี่คือขุมพลัง ส่วนเฟรมคือแกนหลักของตัวรถ การตรวจสอบสองส่วนนี้เป็นประจำช่วยป้องกันปัญหาการใช้งานในระยะยาว
- ประสิทธิภาพของยางและเบรก: ทั้งสองส่วนเป็นระบบความปลอดภัยพื้นฐานที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง การดูแลให้อยู่ในสภาพดีเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
- การสร้างกิจวัตรการตรวจสอบ: การทำให้การตรวจเช็คเป็นนิสัยก่อนขี่ทุกครั้ง คือการลงทุนในความปลอดภัยที่คุ้มค่าที่สุด
ทำไมการตรวจเช็ค E-Bike ก่อนขี่จึงสำคัญอย่างยิ่ง?
Checklist! 5 จุดต้องเช็ก E-Bike ก่อนขี่ ปลอดภัยทุกวัน คือแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้งานจักรยานไฟฟ้าทุกคน เนื่องจาก E-Bike มีน้ำหนักมากกว่าและทำความเร็วได้สูงกว่าจักรยานทั่วไป ส่วนประกอบต่างๆ เช่น มอเตอร์ แบตเตอรี่ และระบบเบรก จึงต้องรับภาระหนักกว่าปกติ การละเลยการตรวจสอบอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่หลากหลาย ตั้งแต่แบตเตอรี่หมดกลางทาง ยางระเบิด ไปจนถึงระบบเบรกทำงานผิดพลาด ซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงได้
การตรวจเช็คสภาพรถเป็นประจำเหมาะสำหรับผู้ขับขี่ E-Bike ทุกระดับ ตั้งแต่มือใหม่ที่ยังไม่คุ้นเคยกับระบบการทำงาน ไปจนถึงผู้ใช้งานเป็นประจำที่อาจมองข้ามการสึกหรอที่เกิดขึ้นทีละน้อย การตรวจสอบควรทำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งสำหรับผู้ที่ใช้งานทุกวัน หรือทำทุกครั้งก่อนนำรถออกไปขี่ในระยะทางไกล เพื่อให้มั่นใจว่าทุกส่วนประกอบพร้อมทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด
จุดที่ 1: รูปแบบการใช้งานและประเภทของ E-Bike
ขั้นตอนแรกของการตรวจสอบคือการทำความเข้าใจว่า E-Bike ที่ใช้งานอยู่นั้นถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ใด การใช้งานผิดประเภทไม่เพียงแต่ลดทอนประสิทธิภาพของรถ แต่ยังอาจสร้างความเสียหายต่อโครงสร้างและเพิ่มความเสี่ยงในการขับขี่อีกด้วย การตรวจสอบว่าประเภทของรถสอดคล้องกับการใช้งานหลักประมาณ 90% จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าเป็นการเลือกที่เหมาะสมและปลอดภัย
เข้าใจประเภทหลักของจักรยานไฟฟ้า
E-Bike ในตลาดสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ตามลักษณะการออกแบบและการใช้งาน ดังนี้:
- จักรยานไฟฟ้าสำหรับเดินทางในเมือง (Commuter/Urban E-Bike): ออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายในการขับขี่บนถนนเรียบ มีท่าปั่นที่หลังตรง ไม่เมื่อยล้า มักมาพร้อมอุปกรณ์เสริม เช่น บังโคลน ตะแกรงท้ายสำหรับบรรทุกสัมภาระ และระบบไฟส่องสว่าง เหมาะสำหรับการเดินทางไปทำงานหรือใช้งานในชีวิตประจำวัน
- จักรยานไฟฟ้าพับได้ (Folding E-Bike): มีจุดเด่นที่ขนาดกะทัดรัดและกลไกการพับเก็บที่สะดวกสบาย ทำให้ง่ายต่อการพกพาขึ้นรถไฟฟ้า ขนส่งสาธารณะ หรือเก็บไว้ในพื้นที่จำกัด มักมีขนาดล้อเล็กเพื่อเน้นความคล่องตัวในเมือง
- จักรยานไฟฟ้าเสือภูเขา (E-MTB – Electric Mountain Bike): ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการขับขี่ในเส้นทางวิบากโดยเฉพาะ มีโครงสร้างที่แข็งแรงทนทาน, ระบบกันสะเทือนประสิทธิภาพสูง, มอเตอร์กำลังแรง และยางที่มีดอกยางลึกเพื่อการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมบนพื้นผิวขรุขระ
การเลือกให้เหมาะกับการใช้งานจริง
การตรวจสอบเพื่อให้แน่ใจว่า E-Bike ที่มีนั้นเหมาะสมกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ ตัวอย่างเช่น การนำจักรยานพับได้ไปใช้ในเส้นทางเสือภูเขาอาจทำให้โครงสร้างและจุดพับเสียหายได้ หรือการใช้จักรยานเสือภูเขาเพื่อเดินทางในเมืองอาจไม่คล่องตัวและสิ้นเปลืองพลังงานโดยไม่จำเป็น การตระหนักถึงข้อจำกัดของ E-Bike แต่ละประเภท จะช่วยป้องกันความเสี่ยงและยืดอายุการใช้งานของรถได้เป็นอย่างดี
| คุณสมบัติ | Commuter/Urban E-Bike | Folding E-Bike | E-MTB |
|---|---|---|---|
| วัตถุประสงค์หลัก | การเดินทางในเมือง, ชีวิตประจำวัน | การพกพา, เดินทางร่วมกับขนส่งสาธารณะ | เส้นทางวิบาก, ผจญภัย |
| ลักษณะเด่น | ท่าปั่นสบาย, มีอุปกรณ์เสริมครบครัน | พับเก็บได้, ขนาดกะทัดรัด, คล่องตัว | โครงสร้างแข็งแรง, มอเตอร์แรงบิดสูง |
| ข้อควรระวังในการใช้งาน | ไม่เหมาะกับทางขรุขระหรือทางชันมาก | ความทนทานและเสถียรภาพที่ความเร็วสูงมีจำกัด | น้ำหนักมาก, ไม่คล่องตัวบนถนนเรียบ |
จุดที่ 2: ตำแหน่งและประเภทของมอเตอร์
มอเตอร์ไฟฟ้าคือหัวใจที่ขับเคลื่อน E-Bike การทำความเข้าใจประเภทและตำแหน่งของมอเตอร์ที่ติดตั้งอยู่บนรถ จะช่วยให้สามารถประเมินประสิทธิภาพและข้อจำกัดในการใช้งานได้อย่างถูกต้อง มอเตอร์ใน E-Bike โดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก คือ มอเตอร์ดุมล้อ (Hub Motor) และมอเตอร์กลาง (Mid-Drive Motor)
มอเตอร์ดุมล้อ (Hub Motor)
มอเตอร์ประเภทนี้ถูกติดตั้งไว้ที่ดุมล้อ โดยส่วนใหญ่มักอยู่ที่ล้อหลัง เป็นเทคโนโลยีที่แพร่หลายและมีราคาไม่สูง ทำให้พบได้บ่อยใน E-Bike ระดับเริ่มต้นถึงระดับกลาง การทำงานของ Hub Motor จะเป็นการส่งกำลังขับเคลื่อนไปที่ล้อโดยตรง ให้ความรู้สึกเหมือนมีแรงผลักจากด้านหลัง ข้อดีคือระบบไม่ซับซ้อน บำรุงรักษาง่าย และไม่สร้างภาระให้กับโซ่และชุดเกียร์ แต่ข้อเสียคือการกระจายน้ำหนักอาจไม่สมดุล ทำให้การควบคุมรถในบางสถานการณ์ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร และอาจมีประสิทธิภาพลดลงเมื่อขึ้นทางชัน
มอเตอร์กลาง (Mid-Drive Motor)
มอเตอร์กลางถูกติดตั้งไว้บริเวณแกนกลางของเฟรมจักรยาน ใกล้กับบันไดปั่น ทำหน้าที่ส่งกำลังผ่านโซ่ไปยังล้อหลังเช่นเดียวกับการปั่นปกติ ข้อดีที่สำคัญที่สุดคือการมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำและอยู่กลางตัวรถ ทำให้การควบคุมและทรงตัวทำได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีเสถียรภาพสูง นอกจากนี้ มอเตอร์กลางยังสามารถใช้ประโยชน์จากระบบเกียร์ของจักรยานได้ ทำให้มีแรงบิดสูงและประสิทธิภาพดีเยี่ยมในการขึ้นทางชัน อย่างไรก็ตาม มอเตอร์ประเภทนี้มักมีราคาสูงกว่าและอาจทำให้โซ่และเฟืองสึกหรอเร็วขึ้นเล็กน้อย
| คุณสมบัติ | มอเตอร์ดุมล้อ (Hub Motor) | มอเตอร์กลาง (Mid-Drive Motor) |
|---|---|---|
| ตำแหน่งติดตั้ง | ดุมล้อ (ส่วนใหญ่เป็นล้อหลัง) | กลางเฟรม (บริเวณบันไดปั่น) |
| จุดเด่น | ราคาประหยัด, บำรุงรักษาง่าย | สมดุลดีเยี่ยม, แรงบิดสูง, ประสิทธิภาพในการขึ้นเนิน |
| ข้อจำกัด | การกระจายน้ำหนักไม่ดีเท่า, ประสิทธิภาพบนทางชันลดลง | ราคาสูงกว่า, อาจเพิ่มการสึกหรอของโซ่และเฟือง |
| เหมาะกับผู้ใช้งาน | ระดับเริ่มต้น-กลาง, การใช้งานในเมือง | ผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพสูง, การขี่ขึ้นเนิน, E-MTB |
จุดที่ 3: แบตเตอรี่ – หัวใจของพลังงาน
แบตเตอรี่เปรียบเสมือนถังน้ำมันของ E-Bike การตรวจสอบสภาพและความพร้อมของแบตเตอรี่ก่อนออกเดินทางจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถละเลยได้ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ เช่น แบตเตอรี่หมดกลางทาง หรือความเสี่ยงจากแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพ
การตรวจสอบระดับพลังงานก่อนออกเดินทาง
ก่อนขี่ทุกครั้ง ควรตรวจสอบระดับการชาร์จของแบตเตอรี่ผ่านหน้าจอแสดงผลหรือไฟสถานะบนตัวแบตเตอรี่ ควรวางแผนการเดินทางให้สอดคล้องกับปริมาณแบตเตอรี่ที่เหลืออยู่ หากต้องเดินทางไกล ควรชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็ม 100% เพื่อความมั่นใจ การปล่อยให้แบตเตอรี่หมดระหว่างทางไม่เพียงแต่สร้างความลำบาก แต่ยังหมายถึงการต้องปั่นจักรยานที่มีน้ำหนักมากโดยไม่มีระบบช่วยผ่อนแรง
การสังเกตสภาพภายนอกและการชาร์จ
นอกจากการเช็คระดับพลังงานแล้ว ควรหมั่นสังเกตสภาพภายนอกของแบตเตอรี่ด้วย มองหาร่องรอยความเสียหาย การบวม การรั่วซึม หรือรอยแตก หากพบความผิดปกติเหล่านี้ ควรหยุดใช้งานทันทีและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของความเสียหายภายในซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการลัดวงจรหรือไฟไหม้ได้ นอกจากนี้ ควรใช้อุปกรณ์ชาร์จที่มาพร้อมกับตัวรถเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ข้ามคืนโดยไม่มีคนดูแล
อายุการใช้งานและสัญญาณเตือน
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ใช้ใน E-Bike ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานจำกัด ซึ่งมักนับเป็นรอบการชาร์จ (Charge Cycles) เมื่อใช้งานไปสักระยะ แบตเตอรี่จะเริ่มเก็บประจุได้น้อยลง ทำให้ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งลดลง สัญญาณเตือนว่าแบตเตอรี่อาจใกล้เสื่อมสภาพ ได้แก่ การที่แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด หรือระดับพลังงานลดลงอย่างรวดเร็วแม้ใช้งานไม่หนัก การทำความเข้าใจอายุการใช้งานของแบตเตอรี่จะช่วยให้สามารถวางแผนการเปลี่ยนทดแทนได้อย่างเหมาะสม
จุดที่ 4: โครงสร้างเฟรมและความทนทาน
เฟรมหรือโครงรถเป็นส่วนประกอบที่เปรียบได้กับกระดูกสันหลังของจักรยาน ทำหน้าที่รับน้ำหนักทั้งหมดและรักษาโครงสร้างของรถให้คงอยู่ การตรวจสอบความสมบูรณ์ของเฟรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน E-Bike ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าจักรยานทั่วไปจากมอเตอร์และแบตเตอรี่
วัสดุของเฟรมและผลกระทบต่อน้ำหนัก
เฟรมของ E-Bike สมัยใหม่มักทำจากวัสดุที่มีน้ำหนักเบาและแข็งแรง เช่น อะลูมิเนียมอัลลอย หรือคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งถูกออกแบบมาให้สามารถรับแรงบิดและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของระบบไฟฟ้าได้ การทำความเข้าใจว่าเฟรมรถทำจากวัสดุอะไรจะช่วยให้ประเมินความทนทานและข้อควรระวังในการใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เฟรมที่แข็งแรงและไม่บิดงอจะช่วยให้การควบคุมรถเป็นไปอย่างแม่นยำและปลอดภัย
วิธีตรวจสอบรอยร้าวหรือการบิดงอ
ควรทำการตรวจสอบเฟรมด้วยสายตาเป็นประจำ โดยเฉพาะบริเวณรอยเชื่อมต่อที่สำคัญ เช่น บริเวณคอแฮนด์, จุดเชื่อมต่อระหว่างท่อนั่งกับท่อบน, และบริเวณที่ติดตั้งมอเตอร์และแบตเตอรี่ มองหารอยร้าวขนาดเล็ก, รอยบุบ, หรือสีที่แตกออกซึ่งอาจเป็นสัญญาณของความเสียหายใต้พื้นผิว หาก E-Bike เคยล้มหรือเกิดอุบัติเหตุ ควรตรวจสอบบริเวณเหล่านี้อย่างละเอียดเป็นพิเศษ การพบเจอปัญหตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันความเสียหายรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นขณะขับขี่ได้
การตรวจสอบเฟรมอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังการขับขี่ในเส้นทางที่ขรุขระหรือหลังเกิดการกระแทก เป็นการป้องกันปัญหาร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นจากความล้าของวัสดุ
จุดที่ 5: ยางและระบบเบรก – จุดสัมผัสแห่งความปลอดภัย
ยางและเบรกคือสองส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดต่อความปลอดภัยในการขับขี่ ยางเป็นเพียงส่วนเดียวของจักรยานที่สัมผัสกับพื้นถนน ในขณะที่เบรกคือระบบที่ใช้ควบคุมความเร็วและหยุดรถ การดูแลให้ทั้งสองส่วนนี้อยู่ในสภาพสมบูรณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
การตรวจเช็คลมยางที่เหมาะสม
แรงดันลมยางที่ไม่เหมาะสมส่งผลกระทบโดยตรงต่อการขับขี่ ยางที่อ่อนเกินไปจะทำให้การควบคุมรถทำได้ยากขึ้น, สิ้นเปลืองพลังงานแบตเตอรี่มากขึ้น, และเสี่ยงต่อการที่ยางจะหลุดออกจากขอบล้อหรือเกิดการรั่วซึมได้ง่าย ในทางกลับกัน ยางที่แข็งเกินไปจะลดความสามารถในการยึดเกาะถนนและซับแรงกระแทก ทำให้การขับขี่ไม่นุ่มนวล ควรตรวจสอบแรงดันลมยางอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง โดยใช้เกจวัดลมยางและเติมลมให้ได้ตามค่าที่ผู้ผลิตแนะนำซึ่งระบุไว้ที่แก้มยาง
สภาพดอกยางและการยึดเกาะถนน
ดอกยางมีหน้าที่รีดน้ำและสร้างแรงยึดเกาะกับพื้นผิวถนน ควรตรวจสอบสภาพดอกยางเป็นประจำ มองหาการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ, รอยบาด, หรือสิ่งแปลกปลอมที่ฝังอยู่ในเนื้อยาง หากดอกยางสึกจนเรียบหรือใกล้ถึงตัวบ่งชี้การสึกหรอ (Wear Indicator) ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทันที เพื่อรักษาประสิทธิภาพการยึดเกาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับขี่บนถนนเปียกลื่น
การทดสอบการตอบสนองของระบบเบรก
ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ควรทดสอบการทำงานของเบรกทั้งล้อหน้าและล้อหลังโดยการกำมือเบรกขณะเข็นรถช้าๆ มือเบรกควรมีความแน่น ไม่ยวบจนติดแฮนด์ และสามารถหยุดล้อได้ทันที ฟังเสียงที่ผิดปกติขณะเบรก เช่น เสียงเสียดสีของโลหะ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณว่าผ้าเบรกหมด ควรตรวจสอบความหนาของผ้าเบรกและสังเกตการรั่วซึมของน้ำมันในระบบเบรกไฮดรอลิกเป็นประจำ
การตรวจเช็คเพิ่มเติมเพื่อความมั่นใจสูงสุด
นอกเหนือจาก 5 จุดหลักข้างต้น ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่ควรให้ความสนใจเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ เช่น การตรวจสอบระบบไฟฟ้าและสายไฟต่างๆ ว่ามีการเชื่อมต่อที่แน่นหนา ไม่มีร่องรอยการเปื่อยหรือขาด รวมถึงการเตรียมอุปกรณ์ฉุกเฉินขนาดเล็ก เช่น ชุดปะยาง, ที่สูบลมพกพา, และเครื่องมืออเนกประสงค์ ติดรถไว้เสมอสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
สรุป: สร้างนิสัยการตรวจเช็คเพื่อความปลอดภัยในทุกเส้นทาง
การตรวจเช็ค E-Bike ตาม 5 จุดสำคัญที่กล่าวมาทั้งหมด ตั้งแต่การทำความเข้าใจประเภทของรถ, การตรวจสอบมอเตอร์, การดูแลแบตเตอรี่, การสังเกตความสมบูรณ์ของเฟรม, ไปจนถึงการบำรุงรักษายางและเบรก เป็นกระบวนการที่ไม่ซับซ้อนและใช้เวลาเพียงเล็กน้อย แต่ให้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในด้านความปลอดภัย การสร้างนิสัยการตรวจสอบก่อนการขับขี่เป็นประจำ ไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของจักรยานไฟฟ้าคู่ใจ และทำให้ทุกการเดินทางเต็มไปด้วยความมั่นใจและราบรื่น
ค้นหา E-Bike ที่ใช่และรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
หากกำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการใช้งาน พร้อมรับคำแนะนำด้านการดูแลรักษาจากทีมงานที่มีประสบการณ์ สามารถเข้ามาเลือกชมและสอบถามข้อมูลได้ที่ GIANT Shopping Mall ศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ
ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม: ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม
FACEBOOK PAGE: FACEBOOK PAGE
LINE: LINE
เวลาทำการ: ทุกวัน จันทร์ – เสาร์ (เวลา 9.00 – 18.00 น.)
โทรศัพท์: 061-962-2878
ที่ตั้ง: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
