คำนวณจุดคุ้มทุน E-Bike: ประหยัดกว่ามอเตอร์ไซค์จริงไหม?
การเปลี่ยนผ่านสู่ยานพาหนะไฟฟ้ากำลังเป็นที่สนใจมากขึ้น โดยเฉพาะจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ที่ถูกนำเสนอเป็นทางเลือกสำหรับการเดินทางในเมือง อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญที่หลายคนยังคงสงสัยคือ การลงทุนซื้อ E-Bike นั้นคุ้มค่ากว่าการใช้มอเตอร์ไซค์น้ำมันแบบดั้งเดิมจริงหรือไม่
ภาพรวมการเปรียบเทียบค่าใช้จ่าย
- ต้นทุนระยะยาว: โดยทั่วไป จักรยานไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายรวมได้มากกว่ามอเตอร์ไซค์น้ำมันในระยะกลางถึงระยะยาว เนื่องจากต้นทุนด้านพลังงานและการบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญ
- จุดคุ้มทุน: ระยะเวลาคืนทุนสำหรับการซื้อ E-Bike ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ราคาเริ่มต้นของยานพาหนะ, ค่าพลังงาน (ไฟฟ้าเทียบกับน้ำมัน), และพฤติกรรมการใช้งาน โดยอาจสั้นเพียง 6 เดือนถึง 1 ปี
- ค่าบำรุงรักษา: E-Bike มีชิ้นส่วนสึกหรอน้อยกว่ามอเตอร์ไซค์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป ทำให้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงตามระยะทางต่ำกว่ามาก
- ราคาเริ่มต้น: เทคโนโลยีที่ซับซ้อนและวัสดุคุณภาพสูง เช่น เฟรมคาร์บอนไฟเบอร์หรือระบบ GPS ใน E-Bike บางรุ่น อาจทำให้ราคาเริ่มต้นสูงขึ้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณจุดคุ้มทุน
บทความนี้จะวิเคราะห์และ คำนวณจุดคุ้มทุน E-Bike: ประหยัดกว่ามอเตอร์ไซค์จริงไหม? โดยจะเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในทุกมิติ ตั้งแต่ราคาซื้อ, ค่าพลังงาน, ไปจนถึงค่าบำรุงรักษา เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่ายานพาหนะประเภทใดมอบความคุ้มค่ามากกว่าสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน การตัดสินใจเลือกใช้ E-Bike หรือมอเตอร์ไซค์น้ำมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับการวางแผนทางการเงินในระยะยาว ซึ่งการทำความเข้าใจจุดคุ้มทุนจะช่วยให้สามารถประเมินได้ว่าการลงทุนครั้งนี้จะเริ่มสร้างผลตอบแทนในรูปแบบของเงินออมเมื่อใด
ในยุคที่ราคาน้ำมันมีความผันผวนสูงและกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อมกำลังมาแรง จักรยานไฟฟ้าได้กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มองหาการเดินทางที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อโลกมากขึ้น บทวิเคราะห์นี้จึงมุ่งเน้นไปที่การให้ข้อมูลที่เป็นกลางและอิงตามข้อเท็จจริง เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกยานพาหนะที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และงบประมาณมากที่สุด โดยพิจารณาจากปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน
เจาะลึกการคำนวณจุดคุ้มทุน: E-Bike vs มอเตอร์ไซค์
การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break-Even Point) คือการหาคำตอบว่าต้องใช้ระยะเวลานานเท่าใด กว่าที่เงินที่ประหยัดได้จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของ E-Bike (เช่น ค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่าค่าน้ำมัน) จะครอบคลุมส่วนต่างของราคาซื้อเริ่มต้นที่อาจสูงกว่ามอเตอร์ไซค์ การคำนวณนี้จำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบค่าใช้จ่ายหลัก 3 ส่วน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายเริ่มต้น, ค่าพลังงาน และค่าบำรุงรักษา
ปัจจัยหลักในการคำนวณค่าใช้จ่ายเริ่มต้น
ราคาซื้อยานพาหนะเป็นต้นทุนก้อนแรกที่ต้องพิจารณา ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมากระหว่าง E-Bike และมอเตอร์ไซค์น้ำมัน
- จักรยานไฟฟ้า (E-Bike): ราคาของ E-Bike มีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับแบรนด์, คุณภาพของส่วนประกอบ, และเทคโนโลยีที่ติดตั้งมาด้วย ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคา ได้แก่
- วัสดุเฟรม: เฟรมที่ทำจากวัสดุน้ำหนักเบาและมีความแข็งแรงสูงอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ จะมีราคาสูงกว่าเฟรมที่ทำจากโลหะผสมหรืออะลูมิเนียม
- เทคโนโลยีแบตเตอรี่: ความจุของแบตเตอรี่ (วัดเป็นวัตต์-ชั่วโมง หรือ Wh) และคุณภาพของเซลล์แบตเตอรี่มีผลโดยตรงต่อระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งและอายุการใช้งาน ซึ่งแบตเตอรี่ที่มีความจุสูงและมาจากผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงมักมีราคาสูงกว่า
- ระบบขับเคลื่อน: มอเตอร์ไฟฟ้า, ระบบเกียร์, และระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์เป็นหัวใจสำคัญของ E-Bike ซึ่งเทคโนโลยีขั้นสูงจะให้ประสบการณ์การขับขี่ที่ดีกว่าแต่ก็มาพร้อมกับราคาที่เพิ่มขึ้น
- ฟังก์ชันเสริม: คุณสมบัติเพิ่มเติม เช่น หน้าจอแสดงผลดิจิทัล, ระบบ GPS ติดตาม, ระบบไฟส่องสว่างในตัว, และระบบเบรกไฮดรอลิก ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสูงขึ้น
- มอเตอร์ไซค์น้ำมัน: ราคามอเตอร์ไซค์จะแปรผันตามขนาดเครื่องยนต์ (CC), แบรนด์, และประเภทของรถ (เช่น รถครอบครัว, รถสปอร์ต, หรือสกู๊ตเตอร์) โดยทั่วไปแล้ว มอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่มีราคาไม่สูงมากนักอาจมีราคาเริ่มต้นใกล้เคียงหรือต่ำกว่า E-Bike ระดับกลางถึงสูง
การเปรียบเทียบจึงต้องทำบนพื้นฐานของยานพาหนะที่มีคุณสมบัติการใช้งานใกล้เคียงกัน เพื่อให้การคำนวณจุดคุ้มทุนสะท้อนความเป็นจริงมากที่สุด
ค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน: ค่าไฟ vs ค่าน้ำมัน
นี่คือส่วนที่ E-Bike มีความได้เปรียบอย่างชัดเจนที่สุด เนื่องจากต้นทุนพลังงานไฟฟ้าต่อกิโลเมตรนั้นต่ำกว่าต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมาก
- ค่าไฟฟ้าสำหรับ E-Bike: การคำนวณค่าไฟในการชาร์จแต่ละครั้งทำได้ไม่ยาก โดยทั่วไปแบตเตอรี่ E-Bike มีความจุประมาณ 400-600 Wh (0.4-0.6 kWh) หากอัตราค่าไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 4 บาทต่อหน่วย (kWh) ค่าใช้จ่ายในการชาร์จจนเต็มหนึ่งครั้งจะอยู่ที่ประมาณ 1.60 – 2.40 บาท ซึ่งสามารถวิ่งได้ระยะทาง 40-80 กิโลเมตร หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับรุ่นและลักษณะการใช้งาน ทำให้ต้นทุนต่อกิโลเมตรต่ำมาก
- ค่าน้ำมันสำหรับมอเตอร์ไซค์: มอเตอร์ไซค์ทั่วไปมีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยประมาณ 40-50 กิโลเมตรต่อลิตร หากราคาน้ำมันอยู่ที่ลิตรละ 35-40 บาท ต้นทุนต่อกิโลเมตรจะอยู่ที่ประมาณ 0.70 – 1.00 บาท ซึ่งสูงกว่าค่าไฟฟ้าของ E-Bike หลายเท่าตัว เมื่อคำนวณเป็นรายเดือนหรือรายปี ส่วนต่างนี้จะยิ่งเห็นได้ชัดเจน
ค่าบำรุงรักษา: ความแตกต่างที่สำคัญ
ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อต้นทุนรวมในระยะยาว E-Bike มีโครงสร้างที่ซับซ้อนน้อยกว่าและมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาป ทำให้ต้องการการบำรุงรักษาน้อยกว่า
- E-Bike: การบำรุงรักษาส่วนใหญ่จะคล้ายกับจักรยานทั่วไป เช่น การดูแลโซ่, การเปลี่ยนผ้าเบรก, และการเติมลมยาง ส่วนประกอบไฟฟ้าอย่างมอเตอร์และแบตเตอรี่ถูกออกแบบมาให้มีอายุการใช้งานยาวนานและแทบไม่ต้องบำรุงรักษาเลยตลอดอายุการใช้งานปกติ (Life-cycle) ค่าใช้จ่ายหลักที่อาจเกิดขึ้นในระยะยาวคือการเปลี่ยนแบตเตอรี่เมื่อเสื่อมสภาพ ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังใช้งานไปแล้วหลายปี
- มอเตอร์ไซค์น้ำมัน: ต้องการการบำรุงรักษาตามระยะทางอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง, การเปลี่ยนหัวเทียน, การทำความสะอาดหรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศ, และการตั้งวาล์ว ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะเกิดขึ้นตลอดอายุการใช้งานของรถ และอาจมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนหากเกิดการชำรุด
โดยสรุปแล้ว แม้ว่า E-Bike อาจมีราคาเริ่มต้นสูงกว่าในบางกรณี แต่ต้นทุนด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทำให้มีศักยภาพในการคืนทุนและสร้างความประหยัดได้ในระยะยาว
การวิเคราะห์ระยะเวลาคืนทุน: ต้องใช้นานแค่ไหนถึงจะคุ้ม?
หลังจากพิจารณาองค์ประกอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำข้อมูลเหล่านั้นมาคำนวณเพื่อหาระยะเวลาที่ E-Bike จะเริ่ม “ทำกำไร” หรือประหยัดเงินได้มากกว่ามอเตอร์ไซค์น้ำมัน ซึ่งเป็นหัวใจของการตัดสินใจลงทุน
ตัวอย่างการคำนวณจุดคุ้มทุน
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองพิจารณาสถานการณ์สมมติเพื่อคำนวณหาระยะเวลาคืนทุน
สถานการณ์: ผู้ใช้งานคนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายค่าน้ำมันมอเตอร์ไซค์เฉลี่ยเดือนละ 2,000 บาท และกำลังพิจารณาซื้อ E-Bike ราคา 35,000 บาท เพื่อใช้เดินทางไปทำงานแทนมอเตอร์ไซค์คันเดิม สมมติให้มอเตอร์ไซค์ที่เทียบเคียงกันมีราคาอยู่ที่ 40,000 บาท แต่ในกรณีนี้จะพิจารณาจากการเปลี่ยนพาหนะโดยใช้ E-Bike แทน
- ต้นทุนเริ่มต้นของ E-Bike: 35,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของมอเตอร์ไซค์ (ต่อเดือน): 2,000 บาท (ค่าน้ำมัน)
- ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของ E-Bike (ต่อเดือน): สมมติให้ชาร์จไฟ 15 ครั้งต่อเดือน ครั้งละ 2 บาท คิดเป็น 30 บาท
- เงินที่ประหยัดได้ต่อเดือน: 2,000 บาท (ค่าน้ำมัน) – 30 บาท (ค่าไฟ) = 1,970 บาท
สูตรการคำนวณระยะเวลาคืนทุน (เดือน):
ระยะเวลาคืนทุน = ราคาซื้อ E-Bike / เงินที่ประหยัดได้ต่อเดือน
การคำนวณ:
35,000 / 1,970 ≈ 17.76 เดือน
จากตัวอย่างนี้ จะใช้เวลาประมาณ 18 เดือน หรือ 1 ปีครึ่ง ก่อนที่เงินที่ประหยัดได้จากค่าพลังงานจะครอบคลุมต้นทุนของ E-Bike หลังจากนั้นเป็นต้นไป ทุกๆ เดือนที่ใช้งาน E-Bike จะถือเป็นการประหยัดเงินได้เกือบ 2,000 บาทเมื่อเทียบกับการใช้มอเตอร์ไซค์น้ำมันแบบเดิม
ในกรณีที่เปรียบเทียบกับการซื้อรถใหม่ทั้งสองประเภท หาก E-Bike มีราคาสูงกว่ามอเตอร์ไซค์ 10,000 บาท และมีส่วนต่างค่าใช้จ่าย (พลังงาน + บำรุงรักษา) เดือนละ 1,500 บาท จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ประมาณ 6-7 เดือน (10,000 / 1,500) หลังจากนั้น E-Bike จะเริ่มสร้างความประหยัดที่มากกว่า
ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาคืนทุน
ระยะเวลาคืนทุนที่คำนวณได้ข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามปัจจัยต่างๆ ดังนี้:
- ระยะทางการใช้งาน: ยิ่งใช้งานในระยะทางที่ไกลขึ้นหรือบ่อยขึ้นต่อเดือน ส่วนต่างของค่าพลังงานจะยิ่งสูงขึ้น ทำให้ประหยัดได้มากขึ้นและคืนทุนเร็วขึ้น ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าการใช้งานที่ระยะทางประมาณ 1,500 กิโลเมตรต่อเดือน เป็นจุดที่ยานพาหนะไฟฟ้าเริ่มแสดงความคุ้มค่าอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับยานพาหนะที่ใช้น้ำมัน
- ราคาน้ำมันและค่าไฟฟ้า: ความผันผวนของราคาพลังงานส่งผลโดยตรงต่อการคำนวณ หากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ระยะเวลาคืนทุนของ E-Bike ก็จะสั้นลง ในทางกลับกัน หากมีนโยบายที่ทำให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้น ก็อาจยืดระยะเวลาคืนทุนออกไป
- ส่วนต่างของราคาซื้อ: หากเลือก E-Bike รุ่นที่มีราคาสูงมากเทียบกับมอเตอร์ไซค์รุ่นพื้นฐาน ก็จำเป็นต้องใช้ระยะเวลานานขึ้นในการคืนทุนจากเงินที่ประหยัดได้
- ค่าบำรุงรักษาที่ไม่คาดคิด: แม้ E-Bike จะมีค่าบำรุงรักษาต่ำ แต่หากเกิดอุบัติเหตุหรือความเสียหายที่ต้องเปลี่ยนอะไหล่ราคาสูง เช่น แบตเตอรี่หรือมอเตอร์ก่อนเวลาอันควร ก็อาจส่งผลกระทบต่อภาพรวมความคุ้มค่าได้
เปรียบเทียบต้นทุนรวมในระยะยาว
เพื่อให้เห็นภาพรวมของความคุ้มค่าที่ชัดเจนที่สุด การเปรียบเทียบต้นทุนรวมตลอดอายุการใช้งาน (Total Cost of Ownership) เป็นสิ่งสำคัญ ตารางด้านล่างนี้เป็นการสรุปและเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายโดยประมาณของยานพาหนะทั้งสองประเภทในระยะเวลา 3 ปี โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานการใช้งานทั่วไป
| รายการค่าใช้จ่าย | จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) | มอเตอร์ไซค์น้ำมัน |
|---|---|---|
| ราคาซื้อเริ่มต้น | 35,000 บาท | 45,000 บาท |
| ค่าพลังงาน (3 ปี) | ประมาณ 1,080 บาท (30 บาท/เดือน x 36 เดือน) | ประมาณ 72,000 บาท (2,000 บาท/เดือน x 36 เดือน) |
| ค่าบำรุงรักษา (3 ปี) | ประมาณ 2,500 บาท (เช็คสภาพทั่วไป, เปลี่ยนยาง/ผ้าเบรก) | ประมาณ 9,000 บาท (เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง, หัวเทียน, ไส้กรอง) |
| ต้นทุนรวม (3 ปี) | 38,580 บาท | 126,000 บาท |
จากตารางจะเห็นได้ว่า แม้มอเตอร์ไซค์อาจมีราคาเริ่มต้นไม่ต่างกันมากนักในบางรุ่น แต่เมื่อรวมค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษาตลอด 3 ปี ต้นทุนรวมของมอเตอร์ไซค์น้ำมันจะสูงกว่า E-Bike อย่างมีนัยสำคัญ ส่วนต่างที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการประหยัดของ E-Bike ในระยะยาวได้อย่างชัดเจน
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจ
นอกเหนือจากการคำนวณตัวเลขทางทฤษฎีแล้ว ยังมีปัจจัยเชิงคุณภาพและสถานการณ์จริงที่ควรนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจ เพื่อให้แน่ใจว่าการเลือก E-Bike นั้นเหมาะสมกับการใช้งานจริง
พฤติกรรมการใช้งานและระยะทาง
ลักษณะการเดินทางในแต่ละวันเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด E-Bike เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางในระยะสั้นถึงปานกลางภายในเมือง เช่น การเดินทางไปทำงาน, ไปเรียน หรือทำธุระที่ไม่ไกลมากนัก หากการใช้งานหลักคือการเดินทางข้ามจังหวัดหรือในระยะทางไกลๆ เป็นประจำ มอเตอร์ไซค์น้ำมันอาจยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าในด้านระยะทางและการเติมพลังงานที่รวดเร็ว
เทคโนโลยีและวัสดุของตัวรถ
ดังที่กล่าวไปข้างต้น คุณภาพของส่วนประกอบมีผลต่อทั้งราคาและประสบการณ์การใช้งาน การลงทุนใน E-Bike ที่มีคุณภาพดีจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ แม้จะมีราคาสูงกว่า แต่ก็มักจะมาพร้อมกับความทนทาน, ประสิทธิภาพที่ดี, และอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ที่ยาวนานกว่า ซึ่งจะส่งผลดีต่อความคุ้มค่าในระยะยาวและลดปัญหาจุกจิกกวนใจ การเลือกรุ่นที่ราคาถูกเกินไปอาจนำไปสู่ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมที่สูงกว่าในอนาคต
โครงสร้างพื้นฐานและการสนับสนุน
ความสะดวกในการชาร์จเป็นอีกหนึ่งข้อพิจารณา แม้ว่า E-Bike ส่วนใหญ่สามารถถอดแบตเตอรี่ไปชาร์จในบ้านหรือที่ทำงานได้ แต่การมีจุดชาร์จสาธารณะก็ช่วยเพิ่มความอุ่นใจในการเดินทางไกล นอกจากนี้ บริการหลังการขายและความพร้อมของศูนย์ซ่อมและอะไหล่ก็เป็นสิ่งสำคัญ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญในพื้นที่ใกล้เคียง สุดท้ายนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น โครงการลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุนสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ก็อาจเป็นปัจจัยที่ช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นและเพิ่มความน่าสนใจให้กับ E-Bike ได้ในอนาคต
สรุป: E-Bike ทางเลือกที่คุ้มค่าในระยะยาวหรือไม่?
จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่าการ คำนวณจุดคุ้มทุน E-Bike: ประหยัดกว่ามอเตอร์ไซค์จริงไหม? คำตอบคือ “จริง” ในกรณีส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานในระยะกลางถึงระยะยาว แม้ว่า E-Bike อาจมีราคาเริ่มต้นที่สูงกว่าในบางรุ่น แต่ความได้เปรียบจากต้นทุนค่าพลังงานที่ต่ำกว่าอย่างมหาศาลและค่าบำรุงรักษาที่น้อยกว่า ทำให้สามารถคืนทุนได้ในระยะเวลาที่ไม่นานนัก ซึ่งโดยทั่วไปอาจอยู่ที่ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปีครึ่ง ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้งานและส่วนต่างของราคาเริ่มต้น
อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจ最终ต้องขึ้นอยู่กับการประเมินความต้องการและไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคล หากลักษณะการใช้งานส่วนใหญ่เป็นการเดินทางในเมือง ระยะทางไม่ไกล และต้องการลดค่าใช้จ่ายรายเดือนอย่างยั่งยืน จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ถือเป็นทางเลือกการลงทุนที่ชาญฉลาดและคุ้มค่าอย่างยิ่ง ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม
สำหรับผู้ที่สนใจและกำลังมองหาจักรยานไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ GIANT Shopping Mall ซึ่งเป็นศูนย์รวมจำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การเดินทาง สามารถดูรายละเอียดสินค้าผ่านทาง FACEBOOK PAGE หรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญผ่าน LINE และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม เพื่อค้นหายานพาหนะที่เหมาะสมที่สุด
