มาตรการ EV 3.5: จักรยานไฟฟ้าจะได้เงินอุดหนุนหรือไม่?
- ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับมาตรการ EV 3.5 และจักรยานไฟฟ้า
- ภาพรวมและเป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้าภาครัฐ
- เจาะลึกเงื่อนไขเงินอุดหนุน EV ภายใต้มาตรการ EV 3.5
- วิเคราะห์สถานะของจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในมาตรการ EV 3.5
- ประโยชน์ของการเลือกใช้จักรยานไฟฟ้าในปัจจุบัน
- สรุปและแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก
มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ได้กลายเป็นนโยบายสำคัญที่ภาครัฐผลักดันอย่างต่อเนื่อง เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำและสร้างฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการสนับสนุนที่ชัดเจนสำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ยังคงมีคำถามที่หลายคนสงสัย โดยเฉพาะผู้ที่สนใจยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับมาตรการ EV 3.5 และจักรยานไฟฟ้า
- มาตรการ EV 3.5 ซึ่งมีผลบังคับใช้ระหว่างปี พ.ศ. 2567–2570 มุ่งเน้นการให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่รถยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก
- ภายใต้เงื่อนไขปัจจุบัน จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไม่จัดอยู่ในกลุ่มยานพาหนะที่ได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงจากมาตรการนี้
- เงื่อนไขสำคัญสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิ์ ต้องมีราคาไม่เกิน 150,000 บาท ขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป และต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศไทย
- แม้จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนโดยตรง การใช้จักรยานไฟฟ้ายังคงมีประโยชน์ในด้านการประหยัดค่าใช้จ่ายพลังงาน การลดมลพิษ และการส่งเสริมสุขภาพ
- ผู้บริโภคและผู้ประกอบการควรติดตามนโยบายของภาครัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีการขยายขอบเขตการสนับสนุนไปยังยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กในอนาคต
มาตรการ EV 3.5: จักรยานไฟฟ้าจะได้เงินอุดหนุนหรือไม่? ถือเป็นคำถามสำคัญที่สะท้อนถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มยานพาหนะไฟฟ้าส่วนบุคคลขนาดเล็ก (Micro-mobility) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเดินทางระยะสั้นในเขตเมือง มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ หรือที่รู้จักกันในชื่อ EV 3.5 เป็นนโยบายต่อเนื่องที่ออกแบบมาเพื่อกระตุ้นตลาดและสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศให้แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม ขอบเขตและเงื่อนไขของมาตรการนี้ได้กำหนดประเภทของยานพาหนะที่ได้รับสิทธิ์ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคจำนวนมากที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด
บทความนี้จะเจาะลึกรายละเอียดของมาตรการ EV 3.5 เพื่อวิเคราะห์ว่าเหตุใดจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจึงยังไม่เข้าเกณฑ์ พร้อมทั้งสำรวจเงื่อนไขสำหรับยานพาหนะที่ได้รับเงินอุดหนุน และประเมินแนวโน้มและโอกาสที่ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กเหล่านี้จะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในอนาคต
ภาพรวมและเป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้าภาครัฐ
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน แต่เป็นผลมาจากการวางแผนเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง ลดปัญหมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM2.5 และที่สำคัญคือการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของโลก
ความต่อเนื่องจากมาตรการ EV 3 สู่ EV 3.5
มาตรการ EV 3.5 เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากมาตรการ EV 3 (พ.ศ. 2565–2568) ที่ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมาตรการใหม่นี้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2567 และจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2570 รวมระยะเวลา 4 ปี การปรับเปลี่ยนจากเฟสแรกมาสู่เฟส 3.5 สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของภาครัฐที่ต้องการสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม โดยค่อยๆ ลดขนาดเงินอุดหนุนลง แต่เพิ่มเงื่อนไขที่ส่งเสริมการผลิตในประเทศมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการจ้างงานภายในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
วัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า
เป้าหมายหลักของมาตรการ EV 3.5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเพิ่มจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน แต่ครอบคลุมมิติที่กว้างกว่านั้น ได้แก่:
- การสร้างอุปสงค์ในประเทศ: การให้เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีช่วยลดภาระของผู้ซื้อ ทำให้ราคายานยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปมากขึ้น กระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจซื้อและสร้างตลาดที่แข็งแกร่ง
- การดึงดูดการลงทุน: มาตรการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการต้องมีการผลิตชดเชยในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ค่ายรถยนต์ระดับโลกตัดสินใจตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย
- การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม: การเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนทางสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับพันธสัญญาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
- การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม: การสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่สมบูรณ์ ตั้งแต่การผลิตแบตเตอรี่ สถานีชาร์จ ไปจนถึงการพัฒนากำลังคน จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
เจาะลึกเงื่อนไขเงินอุดหนุน EV ภายใต้มาตรการ EV 3.5
เพื่อให้เข้าใจว่าเหตุใดจักรยานไฟฟ้าจึงยังไม่ได้รับสิทธิ์ จำเป็นต้องพิจารณาเงื่อนไขและข้อกำหนดของยานพาหนะที่เข้าข่ายได้รับเงินอุดหนุนตามที่ภาครัฐประกาศไว้อย่างละเอียด ซึ่งมาตรการได้แบ่งประเภทและคุณสมบัติของยานยนต์ไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน
ยานพาหนะประเภทใดที่ได้รับสิทธิ์
ตามประกาศของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) และกรมสรรพสามิต ยานพาหนะที่ได้รับสิทธิ์ภายใต้มาตรการ EV 3.5 ครอบคลุม 3 ประเภทหลัก ได้แก่:
- รถยนต์นั่งไฟฟ้า (Electric Passenger Cars): ต้องเป็นรถยนต์ประเภท Battery Electric Vehicle (BEV) โดยได้รับเงินอุดหนุนแตกต่างกันไปตามขนาดของแบตเตอรี่และราคาจำหน่าย
- รถกระบะไฟฟ้า (Electric Pickup Trucks): เฉพาะรถกระบะไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศเท่านั้นที่จะได้รับเงินอุดหนุน เพื่อส่งเสริมการผลิตรถยนต์ประเภทนี้ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย
- รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycles): ต้องเป็นรถจักรยานยนต์ประเภท BEV และมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด ทั้งในด้านราคา ขนาดแบตเตอรี่ และแหล่งผลิต
จากรายชื่อข้างต้น จะเห็นได้ว่ามาตรการนี้มุ่งเป้าไปที่ยานพาหนะหลักที่ใช้ในการเดินทางและขนส่งเชิงพาณิชย์ โดยยังไม่ปรากฏชื่อของ “จักรยานไฟฟ้า” หรือ “สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า” อยู่ในกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนโดยตรง
รายละเอียดเงินอุดหนุนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
สำหรับกลุ่มรถสองล้อไฟฟ้า มาตรการ EV 3.5 ได้กำหนดเงื่อนไขที่เฉพาะเจาะจงสำหรับ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใกล้เคียงกับจักรยานไฟฟ้ามากที่สุด แต่ก็มีความแตกต่างในเชิงเทคนิคและกฎหมายอย่างมีนัยสำคัญ
เงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงช่องว่างทางคุณสมบัติที่ทำให้จักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไม่สามารถเข้าร่วมมาตรการได้ในปัจจุบัน
| เงื่อนไข | รายละเอียดข้อกำหนด |
|---|---|
| ประเภทรถ | รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycle) ประเภท BEV |
| ราคาขายปลีก | ต้องไม่เกิน 150,000 บาท |
| ขนาดแบตเตอรี่ | ต้องมีขนาดตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป |
| แหล่งผลิต | ต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศไทย (Made in Thailand) |
| จำนวนเงินอุดหนุน | 10,000 บาทต่อคัน |
| ระยะเวลามาตรการ | พ.ศ. 2567 – 2570 (4 ปี) |
วิเคราะห์สถานะของจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในมาตรการ EV 3.5
เมื่อพิจารณาเงื่อนไขสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าอย่างละเอียดแล้ว จะเห็นได้ชัดเจนว่าเหตุใดจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจึงไม่เข้าข่ายได้รับเงินอุดหนุนในมาตรการ EV 3.5 รอบปัจจุบัน ซึ่งสามารถวิเคราะห์จากปัจจัยหลักหลายประการ
เหตุผลที่จักรยานไฟฟ้ายังไม่เข้าเกณฑ์การอุดหนุน
ช่องว่างสำคัญที่ทำให้จักรยานไฟฟ้าไม่ตรงตามคุณสมบัติของมาตรการ คือข้อกำหนดด้านเทคนิค โดยเฉพาะขนาดของแบตเตอรี่และประเภทของยานพาหนะตามกฎหมาย
- ข้อกำหนดขนาดแบตเตอรี่: มาตรการกำหนดให้แบตเตอรี่ต้องมีขนาด 3 kWh ขึ้นไป ซึ่งเป็นขนาดที่พบได้ในรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อการเดินทางด้วยความเร็วและระยะทางที่ไกลกว่า ในขณะที่จักรยานไฟฟ้าส่วนใหญ่ในตลาดมีขนาดแบตเตอรี่เล็กกว่ามาก โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 0.4 kWh ถึง 0.7 kWh เท่านั้น เนื่องจากถูกออกแบบมาเพื่อเป็นระบบช่วยปั่น (Pedal-Assist) ไม่ใช่การขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว
- การจำแนกประเภทตามกฎหมาย: ในทางกฎหมาย จักรยานไฟฟ้ามักถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่แตกต่างจากรถจักรยานยนต์ ไม่จำเป็นต้องมีการจดทะเบียนหรือใบขับขี่ (ขึ้นอยู่กับกำลังมอเตอร์และความเร็วสูงสุด) ทำให้นโยบายที่อ้างอิงกับโครงสร้างของกรมการขนส่งทางบกและกรมสรรพสามิตสำหรับรถจักรยานยนต์ ไม่สามารถนำมาปรับใช้กับจักรยานไฟฟ้าได้โดยตรง
- เป้าหมายเชิงนโยบาย: ภาครัฐอาจมุ่งเป้าไปที่การทดแทนรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมันซึ่งมีจำนวนมหาศาลในระบบและเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญก่อนเป็นอันดับแรก การอุดหนุนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุดและส่งผลกระทบในวงกว้างได้รวดเร็วกว่า
ความแตกต่างทางเทคนิคระหว่างจักรยานไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น การเปรียบเทียบคุณสมบัติทางเทคนิคระหว่างยานพาหนะสองประเภทนี้จะช่วยฉายภาพให้เห็นถึงความแตกต่างที่ส่งผลต่อนโยบายภาครัฐ
- ระบบขับเคลื่อน: จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) มีระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อ “ช่วย” ในการปั่น ทำให้ผู้ใช้ ออกแรงน้อยลง แต่ยังคงต้องปั่น ในขณะที่รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycle) ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100% ผ่านคันเร่ง โดยไม่ต้องใช้แรงปั่น
- ความเร็วสูงสุด: จักรยานไฟฟ้ามักถูกจำกัดความเร็วของระบบช่วยปั่นไว้ที่ไม่เกิน 25-32 กม./ชม. ตามกฎหมายในหลายประเทศ ส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าสามารถทำความเร็วได้สูงกว่ามาก เทียบเท่ากับรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมัน
- โครงสร้างและน้ำหนัก: จักรยานไฟฟ้ามีโครงสร้างพื้นฐานมาจากจักรยานทั่วไป ทำให้มีน้ำหนักเบาและคล่องตัวสูง ส่วนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามีโครงสร้างที่แข็งแรงและหนักกว่าเพื่อรองรับความเร็วและแบตเตอรี่ขนาดใหญ่
โอกาสในอนาคตสำหรับการสนับสนุน E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
แม้ว่าปัจจุบันจักรยานไฟฟ้าจะยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน แต่แนวโน้มในอนาคตยังคงเป็นไปในทิศทางบวก กระแสความนิยมในการเดินทางด้วยยานพาหนะขนาดเล็ก (Micro-mobility) เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางในเมือง (First-mile/Last-mile journey) กำลังเติบโตขึ้นทั่วโลก ซึ่งอาจผลักดันให้ภาครัฐพิจารณาออกมาตรการสนับสนุนเฉพาะกลุ่มในอนาคต เช่น การลดหย่อนภาษีสำหรับจักรยานไฟฟ้า หรือการอุดหนุนในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่รูปแบบเดียวกับรถจักรยานยนต์ เพื่อส่งเสริมการเดินทางที่สะอาดและลดความแออัดบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของการเลือกใช้จักรยานไฟฟ้าในปัจจุบัน
ถึงแม้จะยังไม่มีเงินอุดหนุนจากมาตรการ EV 3.5 แต่การตัดสินใจเลือกใช้จักรยานไฟฟ้าในวันนี้ยังคงมอบความคุ้มค่าและประโยชน์ในหลายมิติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสุขภาพ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคสามารถพิจารณาได้ทันที
ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจในระยะยาว
จุดเด่นที่สุดของจักรยานไฟฟ้าคือต้นทุนการใช้งานที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับรถจักรยานยนต์หรือรถยนต์ ค่าใช้จ่ายในการชาร์จไฟฟ้าเต็มหนึ่งครั้งอยู่ที่เพียงไม่กี่บาท แต่สามารถวิ่งได้ระยะทางหลายสิบกิโลเมตร นอกจากนี้ ค่าบำรุงรักษายังต่ำกว่ายานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์อย่างมาก เนื่องจากไม่มีชิ้นส่วนที่ซับซ้อน เช่น เครื่องยนต์ หัวเทียน หรือน้ำมันเครื่อง ทำให้ในระยะยาวแล้วผู้ใช้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมเมือง
จักรยานไฟฟ้าเป็นยานพาหนะที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission) ณ จุดใช้งาน จึงมีส่วนช่วยลดปัญหามลพิษทางอากาศและฝุ่น PM2.5 ในเขตเมืองได้อย่างโดยตรง การใช้งานที่เพิ่มขึ้นยังช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัด ลดความต้องการพื้นที่จอดรถ และสร้างเมืองที่น่าอยู่และเป็นมิตรต่อผู้คนมากขึ้น
การส่งเสริมสุขภาพและไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืน
การใช้จักรยานไฟฟ้าที่มีระบบช่วยปั่นยังคงเป็นการออกกำลังกายรูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไกลขึ้นหรือผ่านเส้นทางที่มีเนินชันโดยไม่เหนื่อยจนเกินไป การปั่นจักรยานไฟฟ้าเป็นประจำช่วยเสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด ลดความเครียด และเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่กระฉับกระเฉงและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
สรุปและแนวทางสำหรับผู้ที่สนใจยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก
โดยสรุป มาตรการ EV 3.5 ในปัจจุบันได้ให้การสนับสนุนเงินอุดหนุนแก่รถยนต์ไฟฟ้าและรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดไว้อย่างชัดเจน แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า เนื่องจากความแตกต่างในด้านคุณสมบัติทางเทคนิค โดยเฉพาะขนาดแบตเตอรี่ และการจำแนกประเภทของยานพาหนะตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเติบโตของตลาดยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กและการให้ความสำคัญกับการเดินทางที่ยั่งยืน อาจนำไปสู่การออกมาตรการสนับสนุนใหม่ๆ ในอนาคต
สำหรับผู้ที่กำลังสนใจจักรยานไฟฟ้าในขณะนี้ แม้จะยังไม่ได้รับเงินอุดหนุนโดยตรง แต่ประโยชน์ด้านความประหยัด ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมสุขภาพ ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้จักรยานไฟฟ้าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในเขตเมือง การเลือกจักรยานไฟฟ้าที่เหมาะสมกับการใช้งานจึงเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดสำหรับอนาคต
หากท่านกำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike คุณภาพสูงที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเดินทาง สามารถเยี่ยมชมและเลือกซื้อได้ที่ GIANT Shopping Mall ศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าที่ครบวงจร พร้อมผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ
สามารถติดตามข่าวสารและโปรโมชั่นได้ทาง FACEBOOK PAGE หรือพูดคุยกับเราโดยตรงผ่าน LINE และสามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์ของเรา
