ลดหย่อนภาษี E-Bike? ส่องมาตรการรัฐ หนุนคนไทยใช้รถไฟฟ้า
- ประเด็นสำคัญของมาตรการสนับสนุน EV ปี 2568
- ทำความเข้าใจมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า
- เจาะลึกมาตรการสนับสนุนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike)
- ส่องสิทธิประโยชน์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเภทอื่น
- มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับภาคธุรกิจ
- ทิศทางและเป้าหมายระยะยาวของนโยบาย EV ไทย
- สรุปภาพรวมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าปี 2568
- บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
รัฐบาลไทยเดินหน้าส่งเสริมนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ผ่านมาตรการจูงใจที่หลากหลาย ทั้งการให้เงินอุดหนุนและการลดหย่อนภาษี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานสะอาดและยั่งยืนในภาคการขนส่งของประเทศ
ประเด็นสำคัญของมาตรการสนับสนุน EV ปี 2568
- เงินอุดหนุน E-Bike: รัฐบาลมอบเงินอุดหนุนสูงสุด 10,000 บาทต่อคัน สำหรับการซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด
- เงินอุดหนุนรถยนต์ EV: สำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้า จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 100,000 บาทต่อคัน ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่และราคาจำหน่าย
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี: มีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตและอากรนำเข้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งสำหรับผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
- ส่งเสริมภาคธุรกิจ: นิติบุคคลสามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อรถโดยสารและรถบรรทุกไฟฟ้ามาหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 2 เท่าของมูลค่ารถ
- เป้าหมายระยะยาว: นโยบายเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ชาติในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน (EV Hub)
ทำความเข้าใจมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า
การพิจารณาว่าจะมีการ ลดหย่อนภาษี E-Bike? ส่องมาตรการรัฐ หนุนคนไทยใช้รถไฟฟ้า หรือไม่นั้น กลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างสูงในปัจจุบัน รัฐบาลไทยได้แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการผลักดันให้ยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนไทย ผ่านการออกมาตรการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะมาตรการ EV 3.5 ที่บังคับใช้ในปี 2567-2568 ซึ่งครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท ตั้งแต่รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ ไปจนถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นโยบายเหล่านี้ไม่ได้มุ่งเป้าเพียงเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศให้ก้าวทันเทคโนโลยีโลก ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศในระยะยาว โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนสำคัญอย่างแบตเตอรี่ภายในประเทศ ไปจนถึงการขยายสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วถึง
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อยานยนต์ไฟฟ้าในปี 2568 การทำความเข้าใจในรายละเอียดของมาตรการเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้ตัดสินใจเลือกซื้อยานพาหนะที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น แต่ยังช่วยให้สามารถใช้สิทธิประโยชน์จากภาครัฐได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ซึ่งจะส่งผลให้การเป็นเจ้าของยานยนต์ไฟฟ้ามีความคุ้มค่าและเข้าถึงได้ง่ายกว่าที่เคยเป็นมา
เจาะลึกมาตรการสนับสนุนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike)
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ถือเป็นหนึ่งในยานพาหนะเป้าหมายที่รัฐบาลให้การส่งเสริมเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็น phương tiện ที่ตอบโจทย์การเดินทางในเมืองได้อย่างคล่องตัว ประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาตรการสนับสนุนสำหรับ E-Bike ในปี 2568 จึงถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นตลาดและจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาเลือกใช้มากขึ้น
เงินอุดหนุนโดยตรงจากภาครัฐ
หัวใจสำคัญของมาตรการสำหรับ E-Bike คือการให้เงินอุดหนุนโดยตรงแก่ผู้ซื้อ ภายใต้มาตรการ EV 3.5 รัฐบาลได้กำหนดวงเงินอุดหนุนสูงสุดไว้ที่ 10,000 บาทต่อคัน แม้ว่าตัวเลขนี้จะปรับลดลงจากมาตรการในปีก่อนหน้าที่เคยให้สูงสุดถึง 18,000 บาท แต่ก็ยังคงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยลดต้นทุนเริ่มต้นในการเป็นเจ้าของ E-Bike ได้อย่างมีนัยสำคัญ
เงินอุดหนุนดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ราคาของ E-Bike สามารถแข่งขันกับรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในได้มากขึ้น และกระตุ้นให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าทำตลาดในเชิงรุก
เงื่อนไขและข้อกำหนดในการรับสิทธิ์
เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามเป้าหมาย รัฐบาลได้กำหนดเงื่อนไขสำคัญหลายประการสำหรับ E-Bike ที่จะได้รับสิทธิ์เงินอุดหนุนไว้ดังนี้:
- ราคาจำหน่าย: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าต้องมีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท เพื่อให้การสนับสนุนครอบคลุมกลุ่มผู้ใช้งานในวงกว้าง
- คุณสมบัติแบตเตอรี่: ต้องติดตั้งแบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพและระยะทางการวิ่งที่เหมาะสมต่อการใช้งานจริง
- การเข้าร่วมโครงการ: ทั้งตัวรถรุ่นนั้นๆ และผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการสนับสนุนกับกรมสรรพสามิตอย่างเป็นทางการ
- นโยบายการผลิตในประเทศ: ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะต้องแสดงแผนการผลิตหรือประกอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคต ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างฐานการผลิต EV ภายในประเทศ
สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติม
นอกเหนือจากเงินอุดหนุนโดยตรงแล้ว E-Bike ยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอีกด้วย โดยมีการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตและภาษีนำเข้าตามเกณฑ์ที่กำหนด ทำให้ต้นทุนรวมของผู้ประกอบการลดลง ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งผลดีต่อราคาจำหน่ายปลีกที่ผู้บริโภคต้องจ่าย นอกจากนี้ สำหรับผู้ผลิตที่ลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศ ยังอาจได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น การลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญในการดึงดูดการลงทุนเข้าสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทย
ส่องสิทธิประโยชน์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ประเภทอื่น
มาตรการของรัฐบาลไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ E-Bike เท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงรถยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่นๆ ด้วย เพื่อสร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์และรองรับความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภค
รถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้า
สำหรับกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคล มาตรการสนับสนุนมีความแตกต่างกันไปตามขนาดแบตเตอรี่และระดับราคา เพื่อให้เกิดความเหมาะสมและตรงจุด:
- รถยนต์นั่งไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท):
- แบตเตอรี่ขนาด 50 kWh ขึ้นไป: ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาทต่อคัน
- แบตเตอรี่ขนาดต่ำกว่า 50 kWh: ได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 50,000 บาทต่อคัน
- รถกระบะไฟฟ้า (ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท):
- ต้องมีแบตเตอรี่ขนาด 50 kWh ขึ้นไป และจะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาทต่อคัน
นอกเหนือจากเงินอุดหนุน รถยนต์ในกลุ่มนี้ยังได้รับการลดอากรนำเข้าสูงสุดถึง 40% และลดอัตราภาษีสรรพสามิตจากปกติ 8% เหลือเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งส่งผลอย่างมากต่อการกำหนดราคาขายในประเทศ ทำให้รถยนต์ EV มีราคาที่น่าสนใจและแข่งขันได้มากขึ้น
สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงกว่า 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนโดยตรง แต่ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุมัติอาจยังคงได้รับสิทธิ์ลดอากรนำเข้าสูงสุด 20%
เงื่อนไขสำคัญสำหรับผู้ผลิตและผู้นำเข้า
เช่นเดียวกับ E-Bike ผู้ผลิตและผู้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เข้มงวดของภาครัฐ โดยเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือข้อกำหนดในการผลิตชดเชยการนำเข้า กล่าวคือ ผู้ประกอบการที่นำรถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูปเข้ามาจำหน่าย จะต้องมีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเดียวกันหรือรุ่นอื่นในประเทศไทยเพื่อชดเชยภายในปี 2569 หรือ 2570 ตามอัตราส่วนที่กำหนด เช่น นำเข้า 1 คัน ต้องผลิตชดเชย 2-3 คัน มาตรการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อบังคับให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการลงทุนสร้างโรงงานผลิตในประเทศอย่างเป็นรูปธรรม
มาตรการลดหย่อนภาษีสำหรับภาคธุรกิจ
เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคการขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นภาคส่วนที่มีการใช้พลังงานสูง รัฐบาลได้ออกมาตรการจูงใจทางภาษีสำหรับนิติบุคคลโดยเฉพาะ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จัดซื้อรถโดยสารไฟฟ้า (E-Bus) และรถบรรทุกไฟฟ้า (E-Truck) สามารถนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวมาหักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลได้มากกว่าปกติ โดยไม่มีการจำกัดเพดานราคาของรถ
- กรณีซื้อรถที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ: สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ถึง 2 เท่า ของมูลค่ารถ
- กรณีนำเข้ารถสำเร็จรูปจากต่างประเทศ: สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 1.5 เท่า ของมูลค่ารถ
มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระทางภาษีของผู้ประกอบการ แต่ยังเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ชัดเจนให้เลือกลงทุนในยานพาหนะไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผู้ผลิตในท้องถิ่นและสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรม EV ไทย
ทิศทางและเป้าหมายระยะยาวของนโยบาย EV ไทย
มาตรการสนับสนุนต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเพียงนโยบายระยะสั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ชาติที่วางเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน นั่นคือการผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็น “ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอาเซียน (EV Hub)” วิสัยทัศน์นี้ครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริมการใช้ การผลิต ไปจนถึงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเทคโนโลยีแบตเตอรี่ ซึ่งถือเป็นหัวใจของยานยนต์ไฟฟ้า
เป้าหมายในเชิงสิ่งแวดล้อมก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน การส่งเสริมให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคคมนาคมขนส่ง ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ได้ตามที่ประชาคมโลกตั้งเป้าไว้ในอนาคต ดังนั้น นโยบายสนับสนุนเหล่านี้จึงมีแนวโน้มที่จะดำเนินต่อไป และอาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป
สรุปภาพรวมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าปี 2568
เพื่อให้เห็นภาพรวมของสิทธิประโยชน์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน สามารถสรุปมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ ในปี 2568 ได้ดังตารางต่อไปนี้
| ประเภทยานยนต์ | เงินอุดหนุนสูงสุด (ต่อคัน) | สิทธิประโยชน์ทางภาษี | เงื่อนไขสำคัญ |
|---|---|---|---|
| รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) | 10,000 บาท | ลดภาษีสรรพสามิตและภาษีนำเข้า | ราคาไม่เกิน 150,000 บาท, แบตเตอรี่ ≥ 3 kWh, รุ่นที่เข้าร่วมโครงการ |
| รถยนต์นั่งไฟฟ้า (EV) | 100,000 บาท | ลดอากรนำเข้าสูงสุด 40%, ภาษีสรรพสามิตเหลือ 2% | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท, แบตเตอรี่ ≥ 50 kWh, รุ่นที่เข้าร่วมโครงการ |
| รถกระบะไฟฟ้า | 100,000 บาท | ลดอากรนำเข้าสูงสุด 40% | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท, แบตเตอรี่ ≥ 50 kWh, รุ่นที่เข้าร่วมโครงการ |
| รถโดยสาร/บรรทุกไฟฟ้า (สำหรับธุรกิจ) | ไม่มีเงินอุดหนุนโดยตรง | หักค่าใช้จ่ายทางภาษีได้ 1.5 – 2 เท่า | เฉพาะนิติบุคคล, ไม่จำกัดเพดานราคา |
บทสรุปและแนวโน้มในอนาคต
จากข้อมูลทั้งหมด จะเห็นได้ว่ามาตรการของรัฐบาลในปี 2568 ได้สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างมาก ทั้งสำหรับผู้บริโภคทั่วไปที่กำลังมองหาทางเลือกในการเดินทางที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสำหรับภาคธุรกิจที่ต้องการปรับเปลี่ยนกลุ่มยานพาหนะเพื่อลดต้นทุนและส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร การให้เงินอุดหนุนและการลดหย่อนภาษีสำหรับ E-Bike และ EV ประเภทต่างๆ ช่วยลดกำแพงด้านราคา ทำให้การตัดสินใจเป็นเจ้าของยานยนต์ไฟฟ้าทำได้ง่ายขึ้น
สำหรับผู้ที่สนใจในเทคโนโลยีจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ประเภทต่างๆ ที่มีคุณภาพและอาจเข้าเกณฑ์ตามมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ การเลือกสรรผลิตภัณฑ์จากผู้จัดจำหน่ายที่เชื่อถือได้เป็นสิ่งสำคัญ GIANT Shopping Mall คือหนึ่งในศูนย์รวมที่จำหน่ายจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าหลากหลายประเภท ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเดินทางยุคใหม่
สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมและรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือ LINE และสามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ได้โดยตรงเพื่อค้นหายานพาหนะไฟฟ้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับไลฟ์สไตล์และการใช้งาน
