นโยบายรัฐ EV 2026: E-Bike จะถูกลงอีกหรือไม่?
- ภาพรวมและประเด็นสำคัญของนโยบาย EV 2026
- ทิศทางใหม่ของภาครัฐ: จากผู้ซื้อสู่ผู้ผลิต
- เจาะลึกโครงสร้างมาตรการส่งเสริม EV ปี 2026
- นโยบายภาษีและแรงจูงใจที่ผู้บริโภคต้องรู้
- วิเคราะห์แนวโน้มราคา E-Bike ปี 2026: สรุปแล้วจะถูกลงจริงหรือ?
- ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม E-Bike ของไทยในอนาคต
- สรุปและคำแนะนำ: ควรตัดสินใจซื้อ E-Bike ตอนนี้หรือรอ?
ทิศทางของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีประเด็นเรื่อง นโยบายรัฐ EV 2026: E-Bike จะถูกลงอีกหรือไม่? ซึ่งกลายเป็นคำถามที่อยู่ในความสนใจของผู้บริโภคจำนวนมาก การเปลี่ยนแปลงของมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2026 จะส่งผลโดยตรงต่อโครงสร้างราคาของจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรอบด้านเพื่อทำความเข้าใจถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ทั้งในมุมของผู้ซื้อและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรม
ภาพรวมและประเด็นสำคัญของนโยบาย EV 2026
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของรัฐบาลไทยในปี 2026 มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนทิศทางอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง แต่ในรูปแบบที่แตกต่างไปจากเดิม ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณามีดังนี้
- การเปลี่ยนจุดเน้น: นโยบายจะเปลี่ยนจากการอุดหนุนเพื่อ “ลดราคา” กระตุ้นตลาดผู้บริโภค ไปสู่การ “ส่งเสริมการผลิตในประเทศ” และสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม
- ราคาอาจไม่ลดลงมาก: ผลจากการเปลี่ยนทิศทางนโยบาย อาจทำให้ราคา E-Bike ในปี 2026 ไม่ได้ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญเหมือนในช่วงปี 2023-2025 ที่มีการอุดหนุนการนำเข้าและภาษีอย่างเต็มที่
- เงื่อนไขสำหรับผู้ผลิต: ผู้ประกอบการที่ต้องการรับสิทธิประโยชน์จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เข้มข้นขึ้น เช่น การตั้งโรงงานในประเทศ การใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในไทย และการผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้า
- แรงจูงใจใหม่: แม้ราคาอาจไม่ถูกลงโดยตรง แต่จะมีแรงจูงใจอื่น ๆ เข้ามาแทนที่ เช่น สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ซื้อรถที่ผลิตในประเทศ และการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ลงทุนในอุตสาหกรรม
ทิศทางใหม่ของภาครัฐ: จากผู้ซื้อสู่ผู้ผลิต
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในนโยบาย EV ปี 2026 คือการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการมุ่งเน้นที่การกระตุ้นฝั่งผู้บริโภคด้วยการลดราคา ไปสู่การสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในระยะยาว เป้าหมายสูงสุดคือการผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในระดับภูมิภาคและระดับโลก ไม่ใช่เพียงแค่ตลาดสำหรับผู้ซื้อเท่านั้น
เป้าหมายหลักของมาตรการ EV3 และ EV3.5
มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าที่ผ่านมา (EV3) และมาตรการต่อเนื่อง (EV3.5) ซึ่งจะครอบคลุมถึงปี 2026 เป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนเป้าหมายนี้ แม้ว่ามาตรการช่วงแรกจะเน้นการให้เงินอุดหนุนและลดหย่อนภาษีเพื่อสร้างความต้องการในตลาด แต่มาตรการในเฟสถัดไปจะเพิ่มเงื่อนไขที่ส่งเสริมการลงทุนและการผลิตอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น รัฐบาลต้องการเห็นการถ่ายทอดเทคโนโลยี การจ้างงาน และการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ภายในประเทศ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากกว่าการพึ่งพาการนำเข้า
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ สู่การสร้างอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน
การเปลี่ยนโฟกัสนี้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลมองการณ์ไกลกว่าแค่การเพิ่มจำนวนรถ EV บนท้องถนน แต่ต้องการสร้างระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าให้ครบวงจร ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ และระบบควบคุม ไปจนถึงการประกอบเป็นยานยนต์สำเร็จรูปและการส่งออก การสนับสนุนจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การทำให้รถราคาถูกลงสำหรับผู้ซื้อ แต่ขยายไปถึงการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุน การสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตหันมาใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศมากขึ้น
| ลักษณะนโยบาย | มาตรการส่งเสริม EV ช่วงแรก (EV3) | มาตรการส่งเสริม EV ปี 2026 (EV3.5) |
|---|---|---|
| เป้าหมายหลัก | กระตุ้นความต้องการในตลาด เพิ่มจำนวนผู้ใช้งาน EV | ผลักดันไทยสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของโลก |
| การสนับสนุนด้านราคา | ให้เงินอุดหนุนและลดหย่อนภาษีสูง เพื่อลดราคาขายปลีกโดยตรง | ลดการอุดหนุนราคาโดยตรง เน้นสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่รถที่ผลิตในประเทศ |
| เงื่อนไขสำหรับผู้ผลิต | เงื่อนไขการผลิตชดเชยการนำเข้าที่ยืดหยุ่นกว่า | เงื่อนไขเข้มข้นขึ้น: ต้องตั้งโรงงาน, ใช้ชิ้นส่วนไทย, และผลิต/ส่งออกชดเชย |
| ผลกระทบต่อผู้บริโภค | สามารถซื้อ E-Bike นำเข้าได้ในราคาที่ถูกลงอย่างชัดเจน | ราคา E-Bike อาจไม่ลดลงมาก แต่มีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและผลิตในประเทศ |
เจาะลึกโครงสร้างมาตรการส่งเสริม EV ปี 2026
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น จำเป็นต้องทำความเข้าใจรายละเอียดของมาตรการที่จะถูกบังคับใช้ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม E-Bike ของไทยไปสู่เป้าหมายที่วางไว้
เงื่อนไขด้านการลงทุนและการผลิตในประเทศ
หัวใจสำคัญของนโยบายใหม่คือการกำหนดเงื่อนไขที่ชัดเจนสำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมโครงการและรับสิทธิประโยชน์จากรัฐบาล ซึ่งประกอบด้วย:
- การลงทุนตั้งโรงงาน: ผู้ผลิตจะต้องมีการลงทุนจัดตั้งโรงงานประกอบหรือผลิต E-Bike ภายในประเทศไทย เพื่อสร้างฐานการผลิตที่มั่นคงและก่อให้เกิดการจ้างงาน
- การใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content): มีข้อกำหนดให้ผู้ผลิตต้องใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตในประเทศตามสัดส่วนที่กำหนด เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า, แบตเตอรี่ (ในอนาคต), และระบบควบคุม เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศให้เติบโตควบคู่กันไป
- การผลิตชดเชยการนำเข้า: สำหรับผู้ผลิตที่นำเข้า E-Bike เข้ามาจำหน่ายในช่วงแรก จะต้องมีแผนการผลิตในประเทศเพื่อชดเชยในอัตราส่วนที่กำหนด เช่น นำเข้า 1 คัน ต้องผลิตชดเชย 1-3 คัน ภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งเป็นมาตรการบังคับให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการผลิตจริง
นโยบายการนำเข้าและส่งออกชดเชย
นอกจากการผลิตชดเชยแล้ว รัฐบาลยังได้เพิ่มทางเลือกในการส่งออกเพื่อชดเชยการนำเข้า ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออก โดยมีหลักการคือ การส่งออก E-Bike ที่ผลิตในประเทศ 1 คัน อาจสามารถนับเป็นการชดเชยการนำเข้าได้ถึง 1.5 คัน (ตามสูตรที่กำหนด) มาตรการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ผลิตบริหารจัดการต้นทุนและแผนการผลิตได้ยืดหยุ่นขึ้น แต่ยังเป็นการสร้างแบรนด์ “Made in Thailand” ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดโลกอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เงื่อนไขเหล่านี้อาจทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกสุดท้ายได้
การจัดการด้านแบตเตอรี่: ความท้าทายและแนวทาง
แบตเตอรี่ถือเป็นหัวใจและเป็นชิ้นส่วนที่มีต้นทุนสูงที่สุดใน E-Bike ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีฐานการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ทำให้ต้องพึ่งพาการนำเข้าเป็นหลัก นโยบายในปี 2026 ตระหนักถึงปัญหานี้ โดยยังคงอนุญาตให้มีการนำเข้าแบตเตอรี่ได้ในระดับหนึ่ง แต่จะเริ่มมีมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น พร้อมทั้งมีเงื่อนไขให้ผู้ผลิตต้องเพิ่มสัดส่วนการใช้แบตเตอรี่ที่ประกอบหรือผลิตในประเทศในอนาคต ซึ่งเป็นความท้าทายที่สำคัญของอุตสาหกรรม แต่ก็เป็นโอกาสในการดึงดูดการลงทุนด้านเทคโนโลยีแบตเตอรี่เข้ามาในประเทศเช่นกัน
นโยบายภาษีและแรงจูงใจที่ผู้บริโภคต้องรู้
แม้ว่านโยบายโดยรวมจะมุ่งเน้นไปที่ฝั่งผู้ผลิต แต่ยังคงมีมาตรการทางภาษีและแรงจูงใจบางส่วนที่ส่งผลโดยตรงต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนจะซื้อ E-Bike
การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับ E-Bike
รัฐบาลมีแนวโน้มที่จะปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับรถจักรยานยนต์ใหม่ โดยจะให้สิทธิประโยชน์กับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ามากกว่ารถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทั่วไปอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม การลดหย่อนภาษีนี้จะไม่ได้มอบให้กับ E-Bike ทุกรุ่นเท่ากัน แต่จะเน้นให้สิทธิประโยชน์เป็นพิเศษกับรุ่นที่ “ผลิตในประเทศ” หรือ “ใช้ชิ้นส่วนสำคัญที่ผลิตในไทย” ตามเงื่อนไขของภาครัฐ ซึ่งหมายความว่า E-Bike ที่นำเข้ามาทั้งคันอาจไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเท่ากับรถที่ผลิตในประเทศ นอกจากนี้ อาจมีการให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมสำหรับ E-Bike ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่มีระยะทางวิ่งไกล หรือมีเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงติดตั้งมาให้
สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับผู้ซื้อรายบุคคล
มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ที่ซื้อยานยนต์ไฟฟ้ามีแนวโน้มที่จะยังคงอยู่ แต่จะมีการปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับทิศทางนโยบายใหม่ กล่าวคือ สิทธิในการลดหย่อนภาษีอาจจำกัดเฉพาะผู้ที่ซื้อ E-Bike ที่ผลิตในประเทศเท่านั้น เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคหันมาสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยอุตสาหกรรมไทย ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศได้อีกทางหนึ่ง ดังนั้น ก่อนการตัดสินใจซื้อ ผู้บริโภคควรตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดว่า E-Bike รุ่นที่สนใจนั้นเข้าเกณฑ์การลดหย่อนภาษีหรือไม่
นโยบายรัฐในปี 2026 จะเปลี่ยนสมการของตลาด E-Bike จากเดิมที่เน้น “ราคาถูกจากการนำเข้า” ไปสู่ “คุณค่าที่มาพร้อมกับการผลิตในประเทศ” ซึ่งผู้บริโภคจะต้องพิจารณาปัจจัยอื่นนอกเหนือจากราคาเพียงอย่างเดียว
วิเคราะห์แนวโน้มราคา E-Bike ปี 2026: สรุปแล้วจะถูกลงจริงหรือ?
คำถามสำคัญที่ว่าราคา E-Bike จะถูกลงอีกหรือไม่ในปี 2026 นั้น คำตอบอาจไม่ตรงไปตรงมานัก จากการวิเคราะห์ทิศทางนโยบายและโครงสร้างอุตสาหกรรม สามารถสรุปได้ว่า ราคา E-Bike อาจไม่ถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ เหมือนช่วงปี 2023-2025 ที่ตลาดได้รับอานิสงส์จากการอุดหนุนการนำเข้าอย่างเต็มที่ แต่จะถูกกำหนดโดยปัจจัยที่ซับซ้อนมากขึ้น
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาขายปลีก
ราคา E-Bike ที่ผู้บริโภคต้องจ่ายจะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยประกอบกัน ได้แก่:
- ต้นทุนการผลิตในประเทศ: การตั้งโรงงานและการลงทุนในสายการผลิตในไทยอาจมีต้นทุนเริ่มต้นที่สูง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาในช่วงแรกยังไม่สามารถแข่งขันกับรถนำเข้าจากประเทศที่มีฐานการผลิตขนาดใหญ่อย่างจีนได้
- สัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนไทย: การบังคับใช้ชิ้นส่วนในประเทศอาจทำให้ต้นทุนสูงขึ้น หากอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยังไม่สามารถผลิตได้ในปริมาณมากพอที่จะทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
- ความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิต: ผู้ผลิตแต่ละรายมีความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและกลยุทธ์การตลาดที่แตกต่างกัน บางรายอาจยอมทำกำไรน้อยลงเพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาด ในขณะที่บางรายอาจเน้นที่คุณภาพและตั้งราคาให้สอดคล้องกับต้นทุน
- ความต้องการของตลาด: หากความต้องการ E-Bike ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทรงตัวหรือปรับลดลงได้ยาก
- ต้นทุนจากการชดเชยการนำเข้า: ผู้ผลิตที่ยังต้องนำเข้ารถมาจำหน่าย จะต้องแบกรับต้นทุนจากการผลิตหรือส่งออกชดเชย ซึ่งต้นทุนส่วนนี้มีแนวโน้มที่จะถูกผลักภาระมายังราคาขายปลีก
คุณภาพและเทคโนโลยี: ตัวแปรใหม่ของตลาด
สิ่งที่น่าสนใจคือ รัฐบาลไม่ได้มุ่งเน้นให้เกิดการแข่งขันด้านราคาเพียงอย่างเดียว แต่นโยบายใหม่จะส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันด้านคุณภาพและเทคโนโลยีมากขึ้น ผู้ผลิตที่ลงทุนวิจัยและพัฒนา หรือนำเสนอ E-Bike ที่มีสมรรถนะสูงและมีความปลอดภัย อาจได้รับการสนับสนุนมากกว่า ซึ่งจะทำให้ตลาดมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและมีคุณภาพสูงขึ้นเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภค แม้ว่าราคาอาจจะไม่ได้ถูกที่สุดก็ตาม
ทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม E-Bike ของไทยในอนาคต
นโยบาย EV ปี 2026 ถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่กำหนดทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม E-Bike ของไทยในระยะยาว โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน
การส่งเสริมการผลิตและใช้ชิ้นส่วนในประเทศ
รัฐบาลจะเดินหน้าใช้มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพิ่มเติม เพื่อดึงดูดผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้าให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย ไม่ว่าจะเป็นการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี การสนับสนุนเงินทุนสำหรับการวิจัยและพัฒนา และการสร้างเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างผู้ผลิตชิ้นส่วนกับผู้ประกอบรถยนต์ การผลักดันให้มีการใช้ชิ้นส่วนไทยมากขึ้นไม่เพียงแต่ช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า แต่ยังสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและพัฒนาทักษะแรงงานในประเทศอีกด้วย
เป้าหมายสู่การเป็นฐานการผลิตและส่งออกระดับโลก
ด้วยนโยบายที่ส่งเสริมทั้งการผลิตเพื่อชดเชยการนำเข้าและการส่งออก ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตและส่งออก E-Bike ที่สำคัญของโลก การมีโครงสร้างพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่แข็งแกร่งอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ประกอบกับมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจนจากภาครัฐ จะทำให้ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก และสร้างรายได้เข้าประเทศจากการส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
สรุปและคำแนะนำ: ควรตัดสินใจซื้อ E-Bike ตอนนี้หรือรอ?
โดยสรุป นโยบายรัฐ EV 2026 จะมุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรม E-Bike ในประเทศอย่างยั่งยืนมากกว่าการลดราคาเพื่อกระตุ้นตลาดในระยะสั้น ราคาของ E-Bike ในปี 2026 จึงอาจไม่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่จะถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยด้านต้นทุนการผลิตในประเทศและคุณภาพของผลิตภัณฑ์แทน
สำหรับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาซื้อ E-Bike การตัดสินใจระหว่าง “ซื้อตอนนี้” หรือ “รอ” จึงขึ้นอยู่กับความต้องการและปัจจัยที่ให้ความสำคัญ หากต้องการซื้อ E-Bike ในราคาที่เข้าถึงง่ายที่สุด การซื้อในช่วงที่มาตรการอุดหนุนการนำเข้ายังคงมีอยู่อาจเป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม หากให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศ การสนับสนุนอุตสาหกรรมไทย และอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในอนาคต การรอติดตามสถานการณ์และพิจารณา E-Bike รุ่นที่ผลิตในประเทศซึ่งจะทยอยเปิดตัวมากขึ้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
การเลือกซื้อจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่เหมาะสม จำเป็นต้องพิจารณาทั้งในด้านราคา คุณภาพ และบริการหลังการขาย สำหรับผู้ที่สนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจักรยานไฟฟ้าหลากหลายประเภท GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมทีมงานที่เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ
สามารถเข้ามาเยี่ยมชมและทดลองขับขี่ได้ที่ร้าน หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทางต่างๆ:
- Facebook: FACEBOOK PAGE
- Line: LINE
- โทรศัพท์: 061-962-2878
- เวลาทำการ: วันจันทร์ – เสาร์ (เวลา 9.00 – 18.00 น.)
- ที่ตั้งร้าน: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
