ไมโครโมบิลิตี้: เทรนด์ E-Bike ครองเมืองไทยมาแน่ 2026?
- ภาพรวมของเทรนด์การเดินทางแห่งอนาคต
- ความหมายและนิยามของไมโครโมบิลิตี้
- ปัจจัยขับเคลื่อนเทรนด์ไมโครโมบิลิตี้ทั่วโลกและในเอเชีย
- วิเคราะห์แนวโน้ม: ไมโครโมบิลิตี้: เทรนด์ E-Bike ครองเมืองไทยมาแน่ 2026?
- องค์ประกอบสำคัญที่ผลักดันให้ E-Bike เป็นอนาคตของคนเมือง
- ตารางเปรียบเทียบ: การเดินทางในเมืองแบบดั้งเดิม vs. ไมโครโมบิลิตี้
- บทสรุปและก้าวต่อไปของการเดินทางในเมือง
การเดินทางในเมืองใหญ่กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ ทั้งปัญหารถติดสะสม มลพิษทางอากาศ และค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้น ทำให้แนวคิด “ไมโครโมบิลิตี้” (Micromobility) กลายเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะการใช้ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทั่วโลกและส่งสัญญาณการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในประเทศไทย
ภาพรวมของเทรนด์การเดินทางแห่งอนาคต
- ไมโครโมบิลิตี้ คือเทรนด์การใช้ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น จักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า สำหรับการเดินทางระยะสั้นในเมือง
- ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเทรนด์นี้คือความต้องการลดปัญหารถติด ลดการปล่อยคาร์บอน และเพิ่มความคล่องตัวในการเดินทาง
- ประเทศไทยกำลังเตรียมความพร้อมผ่านโครงการ Smart Mobility เพื่อรองรับการเติบโตของยานพาหนะประเภทนี้ โดยคาดการณ์ว่าปี 2026 จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ
- ความสำเร็จของไมโครโมบิลิตี้ขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแบตเตอรี่
- พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่และคนเมือง เป็นแรงผลักดันให้ E-Bike กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในอนาคต
บทความนี้จะวิเคราะห์เจาะลึกถึงปรากฏการณ์ **ไมโครโมบิลิตี้: เทรนด์ E-Bike ครองเมืองไทยมาแน่ 2026?** โดยสำรวจศักยภาพการเติบโต ปัจจัยสนับสนุน ความท้าทาย และภาพรวมของตลาดในประเทศไทย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าการเดินทางรูปแบบใหม่นี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตคนเมืองได้อย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้ ไมโครโมบิลิตี้หมายถึงยานพาหนะส่วนบุคคลขนาดเล็กและน้ำหนักเบาที่ใช้ความเร็วต่ำ ออกแบบมาเพื่อการเดินทางในระยะทางสั้นๆ ซึ่งโดยทั่วไปไม่เกิน 10-15 กิโลเมตร ยานพาหนะเหล่านี้ส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นทางออกที่ยั่งยืนสำหรับปัญหามลพิษในเมือง แนวคิดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การคมนาคมในเมืองใหญ่ทั่วโลก และกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบนิเวศการเดินทางที่ชาญฉลาด (Smart Mobility Ecosystem)
ความสำคัญของไมโครโมบิลิตี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เนื่องจากเมืองต่างๆ ทั่วโลกต้องเผชิญกับปัญหาการจราจรที่หนาแน่นและคุณภาพอากาศที่ย่ำแย่ การใช้จักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไม่เพียงแต่ช่วยลดการพึ่งพารถยนต์ส่วนบุคคล แต่ยังช่วยแก้ไขปัญหา “การเชื่อมต่อ chặng แรกและ chặng สุดท้าย” (First- and Last-Mile Connectivity) ซึ่งเป็นช่องว่างระหว่างบ้านพักและระบบขนส่งมวลชนหลัก เช่น รถไฟฟ้าหรือรถโดยสารประจำทาง สำหรับผู้ที่อาศัยและทำงานในเขตเมือง เทรนด์นี้มอบความคล่องตัว ความสะดวกสบาย และทางเลือกที่ประหยัดกว่าในการเดินทางประจำวัน การเติบโตนี้คาดว่าจะทวีความสำคัญยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านการจราจรในกรุงเทพมหานครและเมืองใหญ่อื่นๆ
ความหมายและนิยามของไมโครโมบิลิตี้
ไมโครโมบิลิตี้ (Micromobility) เป็นคำที่ใช้อธิบายกลุ่มยานพาหนะขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อการเดินทางส่วนบุคคลในระยะทางสั้นๆ โดยหัวใจหลักของแนวคิดนี้คือการนำเสนอทางเลือกที่คล่องตัว ยืดหยุ่น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนการใช้รถยนต์ในการเดินทางที่ไม่ไกลนักภายในเขตเมือง ยานพาหนะในกลุ่มนี้มักมีน้ำหนักเบาและใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้ลดการปล่อยมลพิษและเสียงรบกวน
ตัวอย่างยานพาหนะที่จัดอยู่ในกลุ่มไมโครโมบิลิตี้ ได้แก่:
- จักรยานไฟฟ้า (E-Bikes): จักรยานที่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อช่วยผ่อนแรงในการปั่น ทำให้เดินทางได้ไกลขึ้นและง่ายขึ้นแม้ในเส้นทางที่เป็นเนิน
- สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า (E-Scooters): ยานพาหนะสองล้อขนาดเล็กที่ยืนขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ได้รับความนิยมสูงในกลุ่มคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวเนื่องจากความสะดวกในการใช้งาน
- สเก็ตบอร์ดไฟฟ้า (Electric Skateboards): สเก็ตบอร์ดที่ติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้า ควบคุมด้วยรีโมทหรือการทรงตัว
- โฮเวอร์บอร์ด (Hoverboards): อุปกรณ์เคลื่อนที่สองล้อที่ผู้ใช้ต้องทรงตัวเพื่อควบคุมทิศทาง
เป้าหมายหลักของไมโครโมบิลิตี้คือการเติมเต็มช่องว่างของระบบคมนาคมในเมือง โดยเฉพาะการเดินทางในระยะ “First and Last Mile” ซึ่งหมายถึงการเดินทางจากจุดเริ่มต้น (เช่น บ้าน) ไปยังสถานีขนส่งสาธารณะ และจากสถานีขนส่งสาธารณะไปยังจุดหมายปลายทาง (เช่น ที่ทำงาน) การมีทางเลือกที่สะดวกและรวดเร็วสำหรับระยะทางสั้นๆ เหล่านี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้คนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น และลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจัยขับเคลื่อนเทรนด์ไมโครโมบิลิตี้ทั่วโลกและในเอเชีย
การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดไมโครโมบิลิตี้ทั่วโลกได้รับแรงหนุนจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี กระแสความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนที่สำคัญที่สุด ผู้คนในเมืองใหญ่เริ่มมองหาทางเลือกการเดินทางที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษทางอากาศ ซึ่งยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กตอบโจทย์นี้ได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ปัญหาการจราจรที่ติดขัดอย่างหนักในมหานครต่างๆ ทำให้การเดินทางด้วยรถยนต์ใช้เวลานานและสิ้นเปลืองพลังงาน ไมโครโมบิลิตี้จึงกลายเป็นทางออกที่มอบความคล่องตัวและช่วยประหยัดเวลาได้เป็นอย่างดี
ในภูมิภาคเอเชีย เทรนด์นี้เติบโตอย่างแข็งแกร่งเป็นพิเศษ โดยมีตลาดขนาดใหญ่อย่างจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย เป็นแกนนำสำคัญ การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว (Urbanization) ในภูมิภาคนี้ส่งผลให้ความต้องการในการเดินทางเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานด้านถนนไม่สามารถรองรับจำนวนรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นได้เสมอไป รัฐบาลในหลายประเทศจึงเริ่มส่งเสริมนโยบายที่สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าและพัฒนาระบบขนส่งอัจฉริยะ (Smart Mobility) เพื่อสร้างเมืองที่น่าอยู่และยั่งยืน
ภูมิภาคเอเชียถือเป็นตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของไมโครโมบิลิตี้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มในประเทศไทยที่คาดว่าจะเติบโตอย่างรวดเร็วภายในปี 2026
ความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่และภาคการท่องเที่ยวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ไลฟ์สไตล์ของคนเมืองยุคใหม่ที่เน้นความสะดวกสบาย ความรวดเร็ว และประสบการณ์ที่แตกต่าง ทำให้ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ากลายเป็นพาหนะที่ตอบโจทย์ ขณะเดียวกัน นักท่องเที่ยวจำนวนมากเลือกใช้บริการเช่ายานพาหนะเหล่านี้เพื่อสำรวจเมืองในมุมมองใหม่ๆ ซึ่งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นและสร้างภาพลักษณ์ของเมืองที่เป็นมิตรต่อนักเดินทางและสิ่งแวดล้อม
วิเคราะห์แนวโน้ม: ไมโครโมบิลิตี้: เทรนด์ E-Bike ครองเมืองไทยมาแน่ 2026?
สำหรับประเทศไทย คำถามที่ว่า **ไมโครโมบิลิตี้: เทรนด์ E-Bike ครองเมืองไทยมาแน่ 2026?** กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ จากสัญญาณบวกหลายประการที่บ่งชี้ถึงศักยภาพการเติบโตที่สูงในอนาคตอันใกล้ แม้ว่าปัจจุบันการใช้งานอาจยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่ แต่แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงกำลังเกิดขึ้นอย่างชัดเจน โดยมีปัจจัยสนับสนุนทั้งจากฝั่งผู้บริโภคและภาครัฐ
บริบทตลาดและความพร้อมของประเทศไทย
ตลาดไมโครโมบิลิตี้ในประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการเติบโต แต่มีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างก้าวกระโดดภายในปี 2026 การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือความนิยมยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มคนเมือง นักศึกษา และพนักงานออฟฟิศที่ต้องการความคล่องตัวในการเดินทางระยะสั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารถติดและประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางประจำวัน นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวในจังหวัดสำคัญๆ เริ่มมีการนำ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามาให้บริการเช่าแก่นักท่องเที่ยว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ภาครัฐเองก็ได้เริ่มเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับเทรนด์นี้ โดยมีการผลักดันนโยบายและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบ Smart Mobility โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงเมืองหลักในภูมิภาคต่างๆ เป้าหมายคือการสร้างระบบนิเวศการเดินทางที่เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อระหว่างระบบขนส่งมวลชนหลักและยานพาหนะส่วนบุคคลขนาดเล็ก
บทบาทของ Smart Mobility กับการแก้ปัญหา First- and Last-Mile
หนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของระบบขนส่งสาธารณะในเมืองไทยคือ “ปัญหาการเชื่อมต่อ chặng แรกและ chặng สุดท้าย” (First- and Last-Mile Connectivity) ผู้คนจำนวนมากที่อาศัยอยู่ในซอยหรือหมู่บ้านที่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าหรือป้ายรถโดยสารประจำทาง ประสบความยากลำบากในการเดินทางเชื่อมต่อ ซึ่งทำให้หลายคนยังคงเลือกใช้รถยนต์ส่วนตัวแม้จะมีระบบขนส่งมวลชนรองรับก็ตาม
ไมโครโมบิลิตี้ โดยเฉพาะ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า เข้ามาตอบโจทย์ปัญหานี้โดยตรง ยานพาหนะเหล่านี้ช่วยให้การเดินทางจากบ้านไปยังสถานีรถไฟฟ้า หรือจากสถานีไปยังที่ทำงาน เป็นไปอย่างสะดวก รวดเร็ว และมีค่าใช้จ่ายต่ำ การบูรณาการไมโครโมบิลิตี้เข้ากับระบบขนส่งสาธารณะจึงเป็นกุญแจสำคัญในการจูงใจให้คนเมืองลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการลดปัญหาการจราจรและมลพิษในระยะยาว การพัฒนาพื้นที่จอดรถสำหรับ E-Bike และจุดชาร์จบริเวณสถานีขนส่งมวลชนจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนเทรนด์นี้
องค์ประกอบสำคัญที่ผลักดันให้ E-Bike เป็นอนาคตของคนเมือง
การที่ E-Bike และยานพาหนะไมโครโมบิลิตี้อื่นๆ จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเมืองไทยได้อย่างสมบูรณ์นั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบสนับสนุนหลายด้านที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไป ตั้งแต่พฤติกรรมของผู้ใช้งานไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค
พฤติกรรมของผู้บริโภคคือปัจจัยชี้ขาดที่สำคัญที่สุด ปัจจุบันคนรุ่นใหม่และคนเมืองมีแนวโน้มที่จะเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนมากขึ้น การเลือกใช้ยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กสะท้อนถึงค่านิยมที่เปลี่ยนไป ซึ่งไม่ได้มองแค่ความสะดวกสบาย แต่ยังคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมด้วย E-Bike ตอบโจทย์ความต้องการด้านความประหยัดพลังงาน ความคล่องตัวสูงในการเดินทางระยะสั้น และยังเป็นสัญลักษณ์ของไลฟ์สไตล์คนเมืองยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพและสิ่งแวดล้อม การสื่อสารและการสร้างความตระหนักรู้ถึงประโยชน์ของไมโครโมบิลิตี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการยอมรับในวงกว้าง
นโยบายภาครัฐและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
การสนับสนุนจากภาครัฐเป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่ขาดไม่ได้ นโยบายส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งในรูปแบบของมาตรการทางภาษีหรือเงินอุดหนุน จะช่วยให้ราคาของ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้งานอย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย
ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ:
- เลนจักรยานที่ปลอดภัย: การสร้างและปรับปรุงเลนจักรยานให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย จะสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน
- การปรับปรุงผังเมือง: การออกแบบผังเมืองที่ให้ความสำคัญกับคนเดินเท้าและผู้ใช้จักรยาน จะช่วยลดอุบัติเหตุและส่งเสริมการเดินทางที่ไม่ใช้เครื่องยนต์
- จุดจอดและสถานีชาร์จ: การจัดสรรพื้นที่จอดรถที่ปลอดภัยและสถานีชาร์จสาธารณะในจุดยุทธศาสตร์ เช่น สถานีรถไฟฟ้า อาคารสำนักงาน และแหล่งชุมชน จะช่วยอำนวยความสะดวกและกระตุ้นการใช้งาน
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมแบตเตอรี่
เทคโนโลยีคือหัวใจที่ขับเคลื่อนไมโครโมบิลิตี้ การพัฒนาแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถใช้งานได้นานขึ้นต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน และใช้เวลาในการชาร์จสั้นลง เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ เทคโนโลยีด้านความปลอดภัย เช่น ระบบเบรกที่มีประสิทธิภาพ ระบบไฟส่องสว่าง และการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนเพื่อตรวจสอบสถานะของยานพาหนะ ก็เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความน่าสนใจและความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน
เวทีแลกเปลี่ยนความรู้และนวัตกรรมอย่างงาน MobilityTech Asia ที่มีกำหนดจัดขึ้นในปี 2026 จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญที่ช่วยเร่งการพัฒนาและการนำเทคโนโลยีไมโครโมบิลิตี้มาใช้จริงในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย โดยเปิดโอกาสให้ผู้ผลิต นักวิจัย และผู้กำหนดนโยบายได้ร่วมกันสร้างสรรค์อนาคตของการเดินทางในเมือง
ตารางเปรียบเทียบ: การเดินทางในเมืองแบบดั้งเดิม vs. ไมโครโมบิลิตี้
| ปัจจัยเปรียบเทียบ | การเดินทางแบบดั้งเดิม (รถยนต์) | ไมโครโมบิลิตี้ (E-Bike) |
|---|---|---|
| ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง | สูง (ค่าน้ำมัน, ค่าบำรุงรักษา, ค่าที่จอดรถ, ค่าทางด่วน) | ต่ำ (ค่าไฟฟ้าในการชาร์จ, ค่าบำรุงรักษาต่ำ) |
| ระยะเวลาในการเดินทาง (ช่วงเวลาเร่งด่วน) | นานและไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร | รวดเร็วและคาดการณ์ได้ง่ายกว่า สามารถหลีกเลี่ยงรถติดได้ |
| ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | สูง (ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษ PM2.5) | ต่ำมาก (ไม่มีการปล่อยมลพิษขณะใช้งาน) |
| ความคล่องตัวและการเข้าถึง | ต่ำในพื้นที่แคบหรือซอยเล็กๆ มีปัญหาเรื่องการหาที่จอดรถ | สูงมาก สามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่และจอดได้สะดวก |
| การเชื่อมต่อ First/Last Mile | ไม่สะดวกหากต้องไปต่อระบบขนส่งสาธารณะ เนื่องจากปัญหาที่จอดรถ | เหมาะสมอย่างยิ่ง เป็นทางออกหลักในการแก้ปัญหานี้ |
| ผลกระทบต่อสุขภาพ | ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตจากความเครียดในการขับรถ | ส่งเสริมกิจกรรมทางกายและสุขภาพจิตที่ดีขึ้น |
บทสรุปและก้าวต่อไปของการเดินทางในเมือง
จากข้อมูลและการวิเคราะห์ทั้งหมด สามารถสรุปได้ว่าเทรนด์ **ไมโครโมบิลิตี้** โดยเฉพาะ **E-Bike** มีศักยภาพสูงที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการเดินทางของคนเมืองในประเทศไทยภายในปี 2026 อย่างแน่นอน การเติบโตนี้เป็นผลพวงจากความต้องการแก้ไขปัญหาเมืองที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งการจราจรติดขัด มลพิษ และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่เปิดรับเทคโนโลยีและให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การจะไปถึงจุดนั้นได้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐที่ต้องลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัยและออกนโยบายสนับสนุนอย่างจริงจัง ภาคเอกชนในการพัฒนาเทคโนโลยีและนำเสนอบริการที่ตอบโจทย์ และภาคประชาชนที่ต้องเปิดใจยอมรับและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทาง หากทุกองค์ประกอบสามารถขับเคลื่อนไปพร้อมกันได้ ภาพของเมืองที่เต็มไปด้วยจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่เคลื่อนที่อย่างคล่องตัวบนเส้นทางที่ปลอดภัย เชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนได้อย่างสะดวกสบาย ก็ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริงอีกต่อไป
สำหรับผู้ที่สนใจเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงและมองหาทางเลือกใหม่ในการเดินทางในเมือง การเลือกใช้ยานพาหนะไมโครโมบิลิตี้คุณภาพดีคือจุดเริ่มต้นที่สำคัญ ที่ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของชีวิตคนเมือง พร้อมให้คำปรึกษาและบริการเพื่อสร้างความมั่นใจในทุกการเดินทาง
สามารถศึกษาข้อมูลผลิตภัณฑ์และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม หรือติดตามข่าวสารได้ที่ FACEBOOK PAGE และ LINE เพื่อเตรียมพร้อมสู่ยุคใหม่ของการเดินทางที่คล่องตัวและยั่งยืน
