Right to Repair: เทรนด์โลกที่อาจเปลี่ยนการซ่อม E-Bike ในไทย
- ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- ทำความเข้าใจ Right to Repair และเหตุผลที่กลายเป็นวาระสำคัญ
- สถานการณ์ Right to Repair ในประเทศไทย: ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลง
- Right to Repair จะส่งผลต่อผู้ใช้ E-Bike ในไทยอย่างไร
- บทเรียนจากต่างประเทศ: ต้นแบบสู่การปฏิบัติจริงในไทย
- ความท้าทายและโอกาสสำหรับอนาคต E-Bike ในไทย
- สรุป: อนาคตของการบำรุงรักษา E-Bike ที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้
Right to Repair: เทรนด์โลกที่อาจเปลี่ยนการซ่อม E-Bike ในไทย กำลังเป็นแนวคิดที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางทั่วโลก และเริ่มส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ซึ่งรวมถึงจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลักการนี้มุ่งเน้นการให้สิทธิ์ผู้บริโภคในการซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ของตนเองได้อย่างอิสระ ผ่านการเข้าถึงชิ้นส่วนอะไหล่ เครื่องมือ และข้อมูลที่จำเป็นจากผู้ผลิต
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- การเสริมสร้างสิทธิผู้บริโภค: Right to Repair คือการเคลื่อนไหวระดับโลกที่สนับสนุนให้ผู้บริโภคมีสิทธิ์ตามกฎหมายในการซ่อมแซมอุปกรณ์ของตนเอง เพื่อลดค่าใช้จ่ายและยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์
- การแก้ปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์: ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ปริมาณมหาศาลกว่า 450,000 ตันต่อปี การผลักดันกฎหมาย Right to Repair ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดปัญหานี้และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
- ผลกระทบต่อตลาด E-Bike: กฎหมายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอะไหล่และคู่มือการซ่อมสำหรับจักรยานไฟฟ้า ทำให้ผู้ใช้งานและร้านซ่อมอิสระสามารถบำรุงรักษาและซ่อมแซม E-Bike ได้ง่ายขึ้น
- ความท้าทายและโอกาส: แม้จะมีความท้าทายจากฝั่งผู้ผลิตและประเด็นด้านความปลอดภัย แต่การออกกฎหมาย Right to Repair จะเป็นโอกาสให้ไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน
ทำความเข้าใจ Right to Repair และเหตุผลที่กลายเป็นวาระสำคัญ
แนวคิดเรื่อง “สิทธิในการซ่อม” ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่กลับมามีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน การเติบโตของเทคโนโลยีทำให้ผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนมากขึ้น ขณะเดียวกันผู้ผลิตบางรายก็สร้างข้อจำกัดที่ทำให้การซ่อมแซมเป็นเรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้ผู้บริโภคถูกบีบให้ต้องซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่แทนการซ่อมของเก่า
นิยามและความหมายของ “สิทธิในการซ่อม”
Right to Repair (R2R) หรือ สิทธิในการซ่อม คือการเคลื่อนไหวทางสังคมและกฎหมายที่เรียกร้องให้ผู้ผลิตสินค้า โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ต้องอำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคและร้านซ่อมอิสระสามารถเข้าถึงองค์ประกอบที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซมได้ ซึ่งประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่:
- อะไหล่แท้ (Parts): ผู้ผลิตต้องจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่แท้ให้แก่ผู้บริโภคและร้านซ่อมทั่วไป ไม่จำกัดเฉพาะศูนย์บริการที่ได้รับอนุญาต
- เครื่องมือ (Tools): การเข้าถึงเครื่องมือพิเศษและอุปกรณ์วินิจฉัยที่จำเป็นสำหรับการซ่อมแซม ซึ่งมักถูกจำกัดการใช้งานโดยผู้ผลิต
- ข้อมูลและคู่มือ (Documentation): การเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิค คู่มือการซ่อมแซม และซอฟต์แวร์ที่จำเป็น เพื่อให้การซ่อมเป็นไปอย่างถูกต้องและปลอดภัย
เป้าหมายหลักของ Right to Repair คือการทำลายการผูกขาดการซ่อมแซมโดยผู้ผลิต ส่งเสริมการแข่งขันในตลาดบริการซ่อม และให้อำนาจแก่ผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกวิธีการบำรุงรักษาผลิตภัณฑ์ของตนเอง
เหตุใด Right to Repair จึงมีความสำคัญในยุคปัจจุบัน
ความสำคัญของ Right to Repair ขยายวงกว้างออกไปมากกว่าแค่เรื่องความสะดวกสบายของผู้บริโภค แต่ยังเชื่อมโยงกับประเด็นทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแยกไม่ออก
- การลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste): อุปกรณ์ที่ซ่อมไม่ได้หรือซ่อมไม่คุ้ม มักจะถูกทิ้งกลายเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นมลพิษร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม การยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ผ่านการซ่อมแซมจะช่วยลดปริมาณขยะได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การประหยัดค่าใช้จ่าย: การซ่อมแซมมักมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการซื้อใหม่ การมีทางเลือกในการซ่อมกับร้านอิสระช่วยให้ผู้บริโภคประหยัดเงินในกระเป๋าได้มากขึ้น
- การส่งเสริมเศรษฐกิจท้องถิ่น: การเปิดโอกาสให้ร้านซ่อมอิสระเข้าถึงอะไหล่และข้อมูลได้ จะช่วยสร้างงานและกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นให้เติบโตขึ้น
- การต่อต้านการออกแบบเพื่อพัง (Planned Obsolescence): ผู้ผลิตบางรายถูกวิจารณ์ว่าจงใจออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีอายุการใช้งานสั้น หรือทำให้ซ่อมแซมได้ยาก เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคซื้อรุ่นใหม่อยู่เสมอ Right to Repair ถือเป็นเครื่องมือต่อต้านแนวปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมนี้
สถานการณ์ Right to Repair ในประเทศไทย: ก้าวสู่การเปลี่ยนแปลง
ในประเทศไทย กระแส Right to Repair เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีแรงผลักดันจากทั้งปัญหาภายในประเทศและความเคลื่อนไหวในระดับสากล ประเทศไทยกำลังพิจารณาที่จะเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียนในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการซ่อม เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและเสริมสร้างสิทธิของผู้บริโภค
ความท้าทายจากปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste)
ข้อมูลชี้ว่าประเทศไทยมีปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์สะสมอยู่ราว 450,000 ตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขยะเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างภาระในการจัดการ แต่ยังก่อให้เกิดมลพิษจากสารเคมีอันตรายที่ปนเปื้อนสู่สิ่งแวดล้อม
การผลักดันกฎหมาย Right to Repair ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างยั่งยืน โดยเปลี่ยนวัฒนธรรม “ใช้แล้วทิ้ง” ไปสู่ “ใช้แล้วซ่อม” ซึ่งสอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียนที่รัฐบาลให้ความสำคัญ
ความเคลื่อนไหวทางกฎหมายและข้อเสนอเชิงนโยบาย
ปัจจุบันกฎหมายของไทยที่เกี่ยวข้องกับสิทธิในการซ่อมยังคงกระจัดกระจายและไม่ครอบคลุม อย่างไรก็ตาม เริ่มมีความพยายามในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยมีข้อเสนอจากหลายภาคส่วน ซึ่งรวมถึงสถาบันวิจัยนโยบายสาธารณะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAPPI) สถาบันสิ่งแวดล้อมไทย (TEI) และมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ได้จัดทำรายงานศึกษาผลกระทบและเสนอแนวทางในการออกกฎหมาย โดยมีข้อเสนอที่น่าสนใจดังนี้:
- การร่างกฎหมายใหม่: ออกกฎหมายที่บัญญัติสิทธิในการซ่อมไว้อย่างชัดเจนและเป็นระบบ
- การแก้ไขกฎหมายเดิม: ปรับปรุงกฎหมายที่มีอยู่ เช่น “Lemon Law” (กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคกรณีซื้อสินค้าชำรุด) ให้ครอบคลุมสิทธิในการซ่อมมากขึ้น
- การห้ามปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม: ออกกฎหมายห้ามผู้ผลิตใช้เทคนิคที่จำกัดการซ่อมโดยไม่จำเป็น เช่น การจับคู่ชิ้นส่วน (Parts Pairing) ที่ทำให้ชิ้นส่วนใหม่ไม่สามารถทำงานได้หากไม่ผ่านการเปิดใช้งานจากผู้ผลิต
- การส่งเสริมและรับรองช่างซ่อม: จัดตั้งโครงการของรัฐเพื่อฝึกอบรมและรับรองมาตรฐานช่างซ่อม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านคุณภาพและความปลอดภัยให้กับผู้บริโภค
บทบาทของภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนวัฒนธรรมการซ่อม
นอกเหนือจากภาครัฐแล้ว ภาคประชาสังคมในไทยก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และส่งเสริมวัฒนธรรมการซ่อมให้เกิดขึ้นในสังคม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กิจกรรม “Repair Cafe” ซึ่งเป็นพื้นที่ที่อาสาสมัครผู้มีทักษะการซ่อมจะมาช่วยซ่อมแซมสิ่งของต่างๆ ให้กับคนในชุมชนโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ตั้งแต่เสื้อผ้า จักรยาน ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก กิจกรรมลักษณะนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะ แต่ยังเป็นการสร้างชุมชนแห่งการแบ่งปันความรู้และส่งเสริมแนวคิดการบริโภคที่ยั่งยืน
Right to Repair จะส่งผลต่อผู้ใช้ E-Bike ในไทยอย่างไร
จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike กำลังเป็นยานพาหนะทางเลือกที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทย เนื่องจากความสะดวก ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานจำนวนมากกลับต้องเผชิญกับความท้าทายในการบำรุงรักษาและซ่อมแซม ซึ่งกฎหมาย Right to Repair: เทรนด์โลกที่อาจเปลี่ยนการซ่อม E-Bike ในไทย จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้
ปัญหาและความท้าทายในการซ่อม E-Bike ที่พบในปัจจุบัน
ผู้ใช้ E-Bike ในไทยมักประสบปัญหาหลายประการที่ทำให้การซ่อมแซมเป็นเรื่องยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูง:
- การขาดแคลนข้อมูลและคู่มือ: ผู้ผลิต E-Bike หลายราย โดยเฉพาะรุ่นราคาประหยัดที่จำหน่ายทางออนไลน์ มักไม่มีคู่มือการซ่อมหรือข้อมูลทางเทคนิคที่ละเอียดเพียงพอ ทำให้ร้านซ่อมทั่วไปไม่สามารถวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง
- การเข้าถึงอะไหล่ที่จำกัด: ชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่ มอเตอร์ หรือกล่องควบคุม มักหาซื้อได้ยาก หรือมีราคาแพงเมื่อสั่งจากศูนย์บริการโดยตรง ผู้ผลิตบางรายจำกัดการขายอะไหล่ให้กับศูนย์ของตนเองเท่านั้น
- การออกแบบที่ปิดกั้นการซ่อม: E-Bike บางรุ่นถูกออกแบบมาในลักษณะที่ทำให้การถอดเปลี่ยนชิ้นส่วนเป็นเรื่องยาก หรือต้องใช้เครื่องมือพิเศษที่ไม่มีจำหน่ายทั่วไป
- ปัญหาด้านความปลอดภัยของแบตเตอรี่: แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเป็นส่วนประกอบที่สำคัญและมีความเสี่ยง การขาดข้อมูลที่ถูกต้องในการจัดการและซ่อมแซมอาจนำไปสู่อันตรายได้
ประโยชน์โดยตรงต่อผู้บริโภคและร้านซ่อมอิสระ
หากกฎหมาย Right to Repair ถูกบังคับใช้ จะเกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมต่อระบบนิเวศของ E-Bike ในประเทศไทย:
- ลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา: ผู้ใช้งานจะมีทางเลือกในการซ่อม E-Bike กับร้านซ่อมอิสระ ซึ่งมักมีค่าบริการที่ถูกกว่าศูนย์บริการของผู้ผลิต และสามารถหาซื้ออะไหล่มาเปลี่ยนเองได้
- ยืดอายุการใช้งาน E-Bike: เมื่อการซ่อมแซมทำได้ง่ายและเข้าถึงได้ ผู้ใช้งานจะสามารถดูแลรักษาจักรยานไฟฟ้าของตนให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น ลดความจำเป็นในการซื้อคันใหม่
- เพิ่มความปลอดภัย: การเข้าถึงข้อมูลทางเทคนิคและคู่มือการซ่อมที่ถูกต้องจะช่วยให้การซ่อมแซม โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับแบตเตอรี่และระบบไฟฟ้า เป็นไปอย่างปลอดภัยและได้มาตรฐาน
- ส่งเสริมธุรกิจร้านซ่อม: ร้านซ่อมจักรยานและร้านซ่อมอิเล็กทรอนิกส์อิสระจะสามารถขยายขอบเขตการบริการมาสู่ตลาด E-Bike ได้อย่างเต็มที่ สร้างการแข่งขันและยกระดับคุณภาพการบริการโดยรวม
บทเรียนจากต่างประเทศ: ต้นแบบสู่การปฏิบัติจริงในไทย
การเคลื่อนไหวเรื่อง Right to Repair ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้เกิดกฎหมายที่เป็นรูปธรรมแล้วในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งสามารถใช้เป็นกรณีศึกษาและบทเรียนสำหรับประเทศไทยในการพัฒนานโยบายของตนเอง
กรณีศึกษากฎหมายในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
สหรัฐอเมริกา: รัฐมินนิโซตาได้ผ่านกฎหมาย Right to Repair ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2024 ซึ่งครอบคลุมผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์หลากหลายประเภท และที่สำคัญคือ ไม่มีข้อยกเว้นสำหรับ E-Bike ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตจักรยานไฟฟ้าที่จำหน่ายในรัฐนี้จะต้องจัดหาอะไหล่ เครื่องมือ และข้อมูลการซ่อมให้กับผู้บริโภคและร้านซ่อมอิสระ นับเป็นก้าวสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่ออุตสาหกรรม E-Bike
สหภาพยุโรป: กฎระเบียบของ EU กำหนดให้ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และโทรทัศน์ ต้องสำรองอะไหล่ไว้เป็นเวลาหลายปีและต้องทำให้การซ่อมแซมสามารถทำได้ด้วยเครื่องมือทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการผลักดันให้ขยายกฎระเบียบนี้ไปยังสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตและร้านซ่อมที่ได้รับการรับรอง
แนวทางการปรับใช้สำหรับประเทศไทย
ประเทศไทยสามารถนำบทเรียนจากต่างประเทศมาปรับใช้ได้ โดยอาจเริ่มต้นจากการกำหนดขอบเขตผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นก่อน เช่น สมาร์ทโฟนและ E-Bike ซึ่งเป็นสินค้าที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากและมีปัญหาในการซ่อมสูง นอกจากนี้ การสร้างระบบรับรองร้านซ่อมอิสระตามแบบยุโรป อาจเป็นแนวทางที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างการเปิดกว้างในการซ่อมกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้บริโภค
ความท้าทายและโอกาสสำหรับอนาคต E-Bike ในไทย
การผลักดันกฎหมาย Right to Repair ให้สำเร็จในประเทศไทยนั้นไม่ใช่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่เต็มไปด้วยความท้าทายที่ต้องเผชิญ อย่างไรก็ตาม หากทำได้สำเร็จก็จะเปิดประตูสู่โอกาสมหาศาลในการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน
อุปสรรคที่ต้องพิจารณา
- การต่อต้านจากผู้ผลิต: ผู้ผลิตบางรายอาจไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนี้ โดยให้เหตุผลเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ และการรักษาคุณภาพการบริการ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องหาทางออกร่วมกันอย่างสร้างสรรค์
- ความท้าทายทางเทคนิค: อุปกรณ์สมัยใหม่มีความซับซ้อนสูง การใช้ซอฟต์แวร์ล็อก (Software Locks) หรือเครื่องมือที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะ (Proprietary Tools) ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่กฎหมายต้องหาทางจัดการ
- ประเด็นความปลอดภัย: การซ่อมแซมที่ไม่ถูกวิธี โดยเฉพาะกับแบตเตอรี่ลิเธียม อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้น การให้ความรู้และกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
โอกาสในการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนในอาเซียน
แม้จะมีความท้าทาย แต่ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการออกกฎหมาย Right to Repair ที่ก้าวหน้าและครอบคลุม ประเทศไทยสามารถสร้างตัวอย่างที่ดีให้กับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การสร้างระบบนิเวศการซ่อมที่แข็งแกร่งไม่เพียงแต่ช่วยลดขยะอิเล็กทรอนิกส์และเสริมสร้างสิทธิผู้บริโภค แต่ยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศในเวทีโลกอีกด้วย
| ประเด็น | รายละเอียด |
|---|---|
| ความเคลื่อนไหวทางกฎหมาย | มีความพยายามผลักดันกฎหมาย R2R ที่ครอบคลุม เพื่อให้สามารถเข้าถึงอะไหล่ เครื่องมือ และคู่มือการซ่อมได้ |
| บริบทด้านขยะอิเล็กทรอนิกส์ | ปริมาณขยะ E-waste มากกว่า 450,000 ตันต่อปี โดย R2R ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดปัญหานี้ |
| ความท้าทายในการซ่อม E-Bike | ข้อจำกัดจากผู้ผลิต, การขาดแคลนคู่มือการซ่อม, การออกแบบแบตเตอรี่ที่ไม่ปลอดภัย |
| บทบาทของภาคประชาสังคม | กิจกรรม Repair Cafe และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมการซ่อมในสังคม |
| ตัวอย่างจากต่างประเทศ | กฎหมายรัฐมินนิโซตา (สหรัฐฯ) และกฎระเบียบของสหภาพยุโรป กำหนดให้ผู้ผลิตต้องเปิดกว้างเรื่องการซ่อม |
| ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ | ลดค่าใช้จ่ายผู้บริโภค, ลดปริมาณขยะ, ส่งเสริมการบริโภคที่ยั่งยืน, และสร้างระบบนิเวศการซ่อมที่แข็งแกร่ง |
สรุป: อนาคตของการบำรุงรักษา E-Bike ที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้
การเคลื่อนไหว Right to Repair: เทรนด์โลกที่อาจเปลี่ยนการซ่อม E-Bike ในไทย ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การเรียกร้องสิทธิของผู้บริโภค แต่เป็นส่วนหนึ่งของกระแสการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลก การผลักดันให้เกิดกฎหมายนี้ในประเทศไทยจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลกระทบเชิงบวกในวงกว้าง ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม โดยเฉพาะสำหรับผู้ใช้งานจักรยานไฟฟ้า ซึ่งจะสามารถเข้าถึงการซ่อมแซมและบำรุงรักษาที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น นับเป็นก้าวสำคัญสู่อนาคตที่การเป็นเจ้าของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้หมายถึงภาระ แต่คือสิทธิในการดูแลรักษาอย่างเต็มที่
สำหรับผู้ที่สนใจจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมการบริการที่ใส่ใจ สามารถติดต่อ GIANT Shopping Mall ศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าครบวงจรได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือ LINE และสามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์ได้โดยตรง
