สิทธิในการซ่อม E-Bike: เทรนด์โลกที่ผู้ใช้ไทยต้องรู้!
ท่ามกลางกระแสความนิยมยานพาหนะไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าได้กลายเป็นทางเลือกการเดินทางที่สำคัญในเขตเมือง รวมถึงประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อพาหนะเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น ประเด็นเรื่องการซ่อมบำรุงและบริการหลังการขายก็ทวีความสำคัญตามมา แนวคิดเรื่อง สิทธิในการซ่อม E-Bike: เทรนด์โลกที่ผู้ใช้ไทยต้องรู้! จึงไม่ใช่แค่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นสิทธิพื้นฐานของผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับค่าใช้จ่าย ความยั่งยืน และอิสระในการดูแลรักษาสินทรัพย์ของตนเอง
ภาพรวมของสิทธิในการซ่อม
แนวคิด “Right to Repair” หรือ “สิทธิในการซ่อม” เป็นการเคลื่อนไหวระดับโลกที่มุ่งเสริมสร้างอำนาจให้ผู้บริโภคสามารถซ่อมแซมผลิตภัณฑ์ที่ตนเองเป็นเจ้าของได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า หรือยานพาหนะ โดยหลักการสำคัญคือการเรียกร้องให้ผู้ผลิตเปิดเผยข้อมูลที่จำเป็น, จัดหาอะไหล่แท้, และออกแบบผลิตภัณฑ์ให้ง่ายต่อการซ่อมแซมโดยบุคคลทั่วไปหรือร้านซ่อมอิสระ แทนที่จะผูกขาดบริการไว้ที่ศูนย์บริการของแบรนด์เท่านั้น
- การเข้าถึงข้อมูลและอะไหล่: ผู้บริโภคควรสามารถเข้าถึงคู่มือการซ่อม, แบบแปลน, และอะไหล่แท้ในราคาที่สมเหตุสมผล
- ลดการผูกขาด: ส่งเสริมการแข่งขันในตลาดบริการซ่อม ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและไม่ต้องจ่ายค่าบริการที่สูงเกินจริง
- ส่งเสริมความยั่งยืน: การซ่อมแซมเพื่อยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
- ความโปร่งใสของผู้ผลิต: นโยบายการรับประกันและเงื่อนไขการซ่อมบำรุงควรมีความชัดเจนและเป็นธรรมต่อผู้บริโภค
ความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ “Right to Repair”
แนวคิดเรื่องสิทธิในการซ่อมมีต้นกำเนิดมาจากการต่อสู้ของผู้บริโภคในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่รู้สึกว่าถูกจำกัดสิทธิ์ในการดูแลรักษาสิ่งของที่ซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง เมื่อผลิตภัณฑ์มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีมากขึ้น ผู้ผลิตหลายรายเริ่มใช้กลยุทธ์ที่ทำให้การซ่อมโดยบุคคลภายนอกเป็นไปได้ยาก เช่น การใช้ชิ้นส่วนพิเศษ การเข้ารหัสซอฟต์แวร์ หรือการไมจำหน่ายอะไหล่ให้ร้านซ่อมทั่วไป สิ่งนี้ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องพึ่งพาศูนย์บริการของผู้ผลิตแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งมักมีค่าใช้จ่ายสูงและอาจนำไปสู่การตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่แทนการซ่อม
นิยามและความสำคัญ
สิทธิในการซ่อม (Right to Repair) คือ หลักการที่ว่าด้วยสิทธิของผู้บริโภคในการซ่อมแซมสินค้าที่ตนเป็นเจ้าของได้อย่างอิสระ โดยไม่ถูกจำกัดหรือกีดกันจากผู้ผลิต สิทธินี้ครอบคลุมถึงการเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็น เช่น คู่มือการซ่อม, เครื่องมือวินิจฉัย, และอะไหล่แท้ เพื่อให้สามารถทำการซ่อมแซมได้ด้วยตนเองหรือผ่านร้านซ่อมอิสระที่ตนเลือก
ความสำคัญของหลักการนี้มีหลายมิติ:
- ด้านเศรษฐกิจ: ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในการซ่อมบำรุง และยังกระตุ้นให้เกิดธุรกิจร้านซ่อมอิสระ สร้างงานและเกิดการแข่งขันในตลาดบริการ
- ด้านสิ่งแวดล้อม: การยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์ผ่านการซ่อมแซมช่วยลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ซึ่งเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญระดับโลก
- ด้านสิทธิผู้บริโภค: เป็นการยืนยันกรรมสิทธิ์ที่แท้จริงของผู้ซื้อ ว่าเมื่อซื้อสินค้ามาแล้ว ย่อมมีสิทธิ์ที่จะดัดแปลงหรือซ่อมแซมได้ตามต้องการ
ทำไมจึงกลายเป็นประเด็นสำคัญสำหรับผู้ใช้ E-Bike
สำหรับตลาดจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ประเด็น สิทธิในการซ่อม มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากพาหนะเหล่านี้ประกอบด้วยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน เช่น แบตเตอรี่, มอเตอร์, และแผงควบคุม ซึ่งมักเป็นชิ้นส่วนที่ผู้ผลิตควบคุมการเข้าถึงอย่างเข้มงวด หากชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งเสียหาย ผู้ใช้อาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับไปที่ศูนย์บริการของแบรนด์ ซึ่งอาจต้องรอคิวนานและมีค่าใช้จ่ายสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหมดระยะเวลารับประกัน
การขาดแคลน อะไหล่ e-bike ที่หาซื้อได้ทั่วไป และการผูกขาดบริการซ่อมไว้ที่ศูนย์บริการ ทำให้ผู้ใช้จำนวนมากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ค่าซ่อมเกือบเท่ากับราคาซื้อใหม่ ซึ่งขัดกับหลักการของความคุ้มค่าและความยั่งยืน
ดังนั้น การผลักดันให้เกิดสิทธิในการซ่อมสำหรับ E-Bike จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการ บำรุงรักษา e-bike ได้ง่ายขึ้น ลดการพึ่งพาผู้ผลิต และทำให้การเป็นเจ้าของยานพาหนะไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ยั่งยืนและประหยัดในระยะยาว
สถานการณ์นโยบายการซ่อม E-Bike ในประเทศไทยปัจจุบัน
ในปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมาย “สิทธิในการซ่อม” ที่บังคับใช้โดยตรง ทำให้ผู้บริโภคต้องพึ่งพานโยบายการรับประกันและบริการหลังการขายของผู้จัดจำหน่ายแต่ละรายเป็นหลัก ซึ่งนโยบายเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างมาก ทั้งในด้านระยะเวลาความคุ้มครอง, ค่าใช้จ่าย, และเงื่อนไขข้อยกเว้นต่างๆ การทำความเข้าใจนโยบายของผู้จำหน่ายจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อหรือเป็นเจ้าของ E-Bike
การวิเคราะห์นโยบายจากผู้จัดจำหน่ายชั้นนำ
จากการสำรวจข้อมูลนโยบายของผู้จัดจำหน่าย E-Bike ในไทย พบว่าโครงสร้างการให้บริการมีความหลากหลาย โดยสามารถยกตัวอย่างได้จาก 2 กรณีศึกษาดังนี้:
กรณีศึกษา 1: MONOWHEEL
แบรนด์นี้มีโครงสร้างบริการที่แบ่งตามสถานะสมาชิกและระยะเวลาประกันอย่างชัดเจน:
- สมาชิก Gold Member (ในระยะประกัน 31-365 วัน): ได้รับสิทธิประโยชน์หลายอย่าง เช่น บริการรับ-ส่งเครื่องฟรี, ตรวจสอบอาการฟรี, และฟรีค่าแรงในการซ่อม โดยจะมีการเรียกเก็บเฉพาะค่าอะไหล่ตามเงื่อนไข
- สมาชิกทั่วไป (ในระยะประกัน 31-365 วัน): จะมีค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบอาการ 300 บาท และมีค่าแรงรวมถึงค่าบริการรับ-ส่งตามจริง
- นอกระยะประกัน: ไม่มีการคิดค่าตรวจสอบอาการ แต่จะมีการเรียกเก็บค่าแรงและค่าขนส่งตามจริง
ประเด็นที่น่าสนใจคือกำหนดเวลาในการซ่อม ซึ่งหากมีอะไหล่จะใช้เวลาประมาณ 7 วันทำการ แต่หากไม่มีอะไหล่ อาจต้องรอนานสูงสุดถึง 45 วันทำการ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายด้านการจัดการสต็อกอะไหล่
กรณีศึกษา 2: eBike-AOI
ผู้จัดจำหน่ายรายนี้มีนโยบายที่กระชับกว่า โดยให้การรับประกันความเสียหายของตัวรถและอุปกรณ์ชาร์จเป็นเวลา 7 วันหลังจากการซื้อ หลังจากนั้นหากเกิดปัญหาจะมีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง
- เงื่อนไขการรับประกัน: ครอบคลุมเฉพาะความเสียหายที่เกิดจากข้อบกพร่องของวัสดุและการผลิตเท่านั้น โดยจะเปลี่ยนเฉพาะชิ้นส่วนที่เสียหายโดยไม่คิดค่าแรง
- ข้อจำกัดทางพื้นที่: การรับประกันมีผลบังคับใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น หากนำรถออกนอกประเทศจะถือว่าการรับประกันสิ้นสุดลงทันที
| คุณสมบัติ | MONOWHEEL | eBike-AOI |
|---|---|---|
| ระยะเวลาประกันพื้นฐาน | 365 วัน (เงื่อนไขแตกต่างตามสถานะสมาชิก) | 7 วัน (สำหรับตัวรถและอุปกรณ์ชาร์จ) |
| ค่าตรวจสอบ/ค่าแรง (ในประกัน) | ฟรีค่าแรงสำหรับ Gold Member, คิดค่าแรงสำหรับสมาชิกทั่วไป | ฟรีค่าแรงหากเปลี่ยนอะไหล่ตามเงื่อนไข |
| ระยะเวลารอซ่อม | 7 วัน (มีอะไหล่) ถึง 45 วัน (ไม่มีอะไหล่) | ไม่ระบุชัดเจน |
| เงื่อนไขพิเศษ | มีระบบสมาชิก (Gold/ทั่วไป) ที่มีสิทธิประโยชน์ต่างกัน | การรับประกันสิ้นสุดหากนำรถออกนอกประเทศ |
ข้อจำกัดและข้อยกเว้นที่ผู้บริโภคต้องเผชิญ
นอกเหนือจากระยะเวลาประกันแล้ว สิ่งที่ผู้บริโภคต้องให้ความสำคัญคือ “ข้อยกเว้น” ของการรับประกัน ซึ่งมักเป็นรายละเอียดเล็กๆ ที่อาจทำให้การเคลมประกันเป็นโมฆะได้ จากข้อมูลของ eBike-AOI สามารถสรุปข้อยกเว้นที่ไม่ครอบคลุมในการรับประกันได้ดังนี้:
- ความเสียหายจากการใช้งานผิดวิธี: การใช้งานที่ไม่เป็นไปตามคู่มือหรือวัตถุประสงค์ของผลิตภัณฑ์
- การดัดแปลงหรือซ่อมแซมโดยไม่ได้รับอนุญาต: การแก้ไขส่วนประกอบใดๆ ของรถ หรือการนำไปซ่อมที่ร้านซ่อมที่ไม่ใช่ตัวแทนอย่างเป็นทางการ อาจทำให้การรับประกันสิ้นสุดลงทันที ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่ขัดแย้งกับหลักการ “สิทธิในการซ่อม” โดยตรง
- การเสื่อมสภาพตามกาลเวลา: ความเสียหายที่เกิดจากการใช้งานปกติ เช่น การซีดจางของสี หรือการเสื่อมของวัสดุ ไม่ถือเป็นข้อบกพร่องจากการผลิต
ข้อจำกัดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคไทยยังคงมีทางเลือกที่จำกัดในการ ซ่อมจักรยานไฟฟ้า และมักถูกผูกมัดกับเงื่อนไขของผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย
บริบททางกฎหมายและอนาคตของยานยนต์ไฟฟ้าในไทย
การเติบโตของตลาด E-Bike และยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในประเทศไทยนั้นเชื่อมโยงกับบริบททางกฎหมายและนโยบายสนับสนุนของภาครัฐอย่างแยกไม่ออก ความชัดเจนทางกฎหมายไม่เพียงส่งผลต่อการใช้งานบนท้องถนน แต่ยังเป็นพื้นฐานสำคัญในการกำหนดสิทธิและความรับผิดชอบของผู้บริโภคและผู้ผลิตในอนาคต รวมถึงประเด็นเรื่อง กฎหมาย EV ที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมบำรุงด้วย
การจัดประเภทพาหนะไฟฟ้าตามกฎหมายจราจร
ตามพระราชบัญญัติการจราจรทางบกของไทย พาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและจักรยานยนต์ไฟฟ้าถูกจัดให้อยู่ในนิยามของ “รถจักรยานยนต์” ซึ่งหมายความว่าโดยหลักการแล้ว พาหนะเหล่านี้ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และข้อบังคับเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ทั่วไป เช่น การจดทะเบียน, การมีใบอนุญาตขับขี่, และการปฏิบัติตามกฎจราจร
ในอดีตเคยมีข้อจำกัดในการใช้งานสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าบนถนนสาธารณะ แต่ปัจจุบันเริ่มมีแนวโน้มผ่อนปรนมากขึ้น โดยมีการเปิดให้หน่วยงานส่วนท้องถิ่นสามารถพิจารณาอนุญาตให้มีการทดลองใช้งานในพื้นที่ที่กำหนดได้ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าภาครัฐเริ่มยอมรับยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กในฐานะส่วนหนึ่งของระบบคมนาคมสมัยใหม่
มาตรการสนับสนุน EV 3.5 และผลกระทบต่อตลาด
นโยบายที่สำคัญซึ่งจะส่งผลกระทบต่อตลาด EV ในภาพรวมคือ มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV 3.5) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในช่วงปี พ.ศ. 2567–2570 มาตรการนี้ครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าหลายประเภท ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า, รถกระบะไฟฟ้า, และรวมถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าด้วย
แม้ว่ามาตรการนี้จะเน้นไปที่การสนับสนุนด้านราคาและการผลิตเป็นหลัก แต่ผลกระทบทางอ้อมที่สำคัญคือการกระตุ้นให้ตลาดเติบโตอย่างก้าวกระโดด เมื่อมีจำนวนผู้ใช้ E-Bike และจักรยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความต้องการบริการหลังการขาย, อะไหล่, และการซ่อมบำรุงก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว สิ่งนี้จะกลายเป็นแรงผลักดันให้ประเด็นเรื่อง “สิทธิในการซ่อม” ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะโครงสร้างบริการหลังการขายในปัจจุบันอาจไม่สามารถรองรับความต้องการของผู้ใช้จำนวนมหาศาลในอนาคตได้ และนี่คือโอกาสสำคัญในการวางรากฐานสำหรับ เทรนด์ e-bike 2026 และปีต่อๆ ไป
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากไทยมีกฎหมายสิทธิในการซ่อม
การนำแนวคิด Right to Repair มาปรับใช้เป็นกฎหมายในประเทศไทย ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต่อระบบนิเวศของอุตสาหกรรม E-Bike ทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จัดจำหน่าย ร้านซ่อมอิสระ ไปจนถึงผู้บริโภคปลายทาง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจะมีทั้งในเชิงบวกและแง่ของความท้าทายที่ต้องมีการเตรียมความพร้อม
ประโยชน์โดยตรงต่อผู้บริโภคและผู้ใช้งาน
หากมีการบังคับใช้กฎหมายสิทธิในการซ่อมอย่างเป็นรูปธรรม ผู้บริโภคจะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์สูงสุดในหลายด้าน:
- อิสระในการเลือก: ผู้ใช้จะไม่ถูกบังคับให้ต้องกลับไปที่ศูนย์บริการของแบรนด์เพียงแห่งเดียว แต่สามารถเลือกร้านซ่อมอิสระที่มีความชำนาญและเสนอราคาที่เหมาะสมได้
- ลดค่าใช้จ่าย: การแข่งขันในตลาดบริการซ่อมจะทำให้ค่าแรงและค่าบริการถูกลง นอกจากนี้ การเข้าถึงอะไหล่แท้ในราคาที่เป็นธรรมจะช่วยลดต้นทุนการซ่อมโดยรวม
- ความรวดเร็วในการบริการ: การมีร้านซ่อมทางเลือกที่หลากหลายจะช่วยลดปัญหาระยะเวลารอคอยที่ยาวนานจากการรอคิวที่ศูนย์บริการหรือการรอสั่งอะไหล่จากผู้ผลิต
- ยืดอายุการใช้งานผลิตภัณฑ์: เมื่อการซ่อมทำได้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายไม่สูง ผู้คนจะมีแนวโน้มที่จะซ่อมแซม E-Bike ของตนเองเพื่อใช้งานต่อไป แทนที่จะทิ้งแล้วซื้อใหม่ ซึ่งเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และลดขยะอิเล็กทรอนิกส์
- เพิ่มพูนความรู้และทักษะ: การเปิดเผยข้อมูลการซ่อมจะช่วยให้ผู้ใช้ที่มีความสนใจสามารถเรียนรู้และทำการบำรุงรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตนเอง
ความท้าทายและข้อควรพิจารณา
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบที่เปิดกว้างมากขึ้นก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ต้องมีการวางกรอบกำกับดูแลที่เหมาะสม:
- มาตรฐานและความปลอดภัย: การซ่อมแซมชิ้นส่วนสำคัญ เช่น แบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนโดยช่างที่ไม่มีความชำนาญเพียงพอ อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงด้านความปลอดภัยได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีมาตรฐานสำหรับร้านซ่อมอิสระและคุณภาพของอะไหล่ทดแทน
- ทรัพย์สินทางปัญญาของผู้ผลิต: ผู้ผลิตอาจมีข้อกังวลเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลทางเทคนิคและแบบแปลนซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญา การร่างกฎหมายจึงต้องสร้างความสมดุลระหว่างสิทธิของผู้บริโภคและการคุ้มครองนวัตกรรมของผู้ผลิต
- การรับประกันหลังการซ่อม: ต้องมีการกำหนดความรับผิดชอบที่ชัดเจนว่าหากเกิดปัญหาขึ้นหลังจากการซ่อมโดยร้านอิสระ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น
แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ แต่ประโยชน์ในระยะยาวต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมนั้นมีน้ำหนักมากกว่า ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกก็ได้เริ่มเดินหน้าผลักดันกฎหมายนี้อย่างจริงจังแล้ว และเป็นสิ่งที่ประเทศไทยควรเริ่มให้ความสำคัญเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับการเติบโตของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
บทสรุปและแนวทางสำหรับผู้ใช้จักรยานไฟฟ้า
สิทธิในการซ่อม E-Bike คือเทรนด์ระดับโลกที่กำลังทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ และเป็นประเด็นที่ผู้ใช้ในประเทศไทยต้องเริ่มตระหนักและให้ความสนใจ ในปัจจุบัน แม้จะยังไม่มีกฎหมายรองรับโดยตรง แต่ตลาด E-Bike ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ประกอบกับนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ กำลังสร้างแรงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้นี้ การทำความเข้าใจนโยบายการรับประกันและข้อจำกัดของผู้จำหน่ายแต่ละรายยังคงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบัน เพื่อรักษาสิทธิ์ของตนเองให้ได้มากที่สุด
การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิในการซ่อมไม่ได้เป็นเพียงการเรียกร้องเพื่อความสะดวกสบายส่วนบุคคล แต่เป็นการผลักดันไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งผู้ใช้งาน, ผู้ประกอบการรายย่อย, และสิ่งแวดล้อมในภาพรวม การมีทางเลือกในการซ่อมบำรุงที่หลากหลายและเข้าถึงได้ง่าย จะทำให้การเป็นเจ้าของจักรยานไฟฟ้าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืนอย่างแท้จริง
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่มีคุณภาพ พร้อมข้อมูลที่โปร่งใสและชัดเจน GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมที่จำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท โดยมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมสนับสนุนแนวคิดที่ส่งเสริมความคุ้มค่าและความยั่งยืนให้กับลูกค้าทุกท่าน
สามารถเยี่ยมชมสินค้าหรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านช่องทาง FACEBOOK PAGE หรือ LINE
