อนาคตจุดชาร์จ EV ไทย: E-Bike ใช้สถานีอัจฉริยะได้ไหม?
- ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
- บทนำสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย
- สถานีชาร์จอัจฉริยะ (Smart Charging) คืออะไร?
- E-Bike กับสถานีชาร์จอัจฉริยะ: โอกาสและความท้าทาย
- ทิศทางนโยบายและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน EV
- บทสรุป: E-Bike จะใช้จุดชาร์จร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้เมื่อไหร่?
- ค้นหาจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทยกำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานอย่างสถานีชาร์จ EV ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม การพัฒนาส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก ทำให้เกิดคำถามสำคัญสำหรับผู้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก นั่นคือ อนาคตจุดชาร์จ EV ไทย: E-Bike ใช้สถานีอัจฉริยะได้ไหม? บทความนี้จะวิเคราะห์ถึงศักยภาพ นโยบาย และความท้าทายของสถานีชาร์จอัจฉริยะในการรองรับจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทย
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
- การขยายตัวของสถานีชาร์จ: ประเทศไทยตั้งเป้ามีสถานีชาร์จ EV มากกว่า 2,500 แห่งภายในปี 2025 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานีระบบอัจฉริยะที่ควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน
- ศักยภาพของสถานีอัจฉริยะ: เทคโนโลยี Smart Charging มีความสามารถในการจ่ายไฟหลายระดับ ทำให้ในทางทฤษฎีสามารถปรับให้เหมาะสมกับการชาร์จ E-Bike ที่ใช้พลังงานต่ำกว่าได้
- ความท้าทายหลัก: อุปสรรคสำคัญคือความแตกต่างของหัวชาร์จและโปรโตคอลการสื่อสารระหว่างสถานีกับตัวรถ ซึ่งยังไม่มีมาตรฐานร่วมกันสำหรับ E-Bike ในสถานีสาธารณะ
- นโยบายภาครัฐ: การส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน EV และแนวคิดเมืองอัจฉริยะ เป็นปัจจัยบวกที่อาจผลักดันให้เกิดการพัฒนาจุดชาร์จที่ครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในอนาคต
- แนวโน้มในอีก 1-2 ปีข้างหน้า: มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้ให้บริการจะเริ่มพัฒนาโซลูชัน ทั้งในรูปแบบของหัวชาร์จเสริมหรือสถานีเฉพาะทางสำหรับ E-Bike เพื่อตอบสนองตลาดที่กำลังเติบโต
บทนำสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงที่ชัดเจนในการเป็นศูนย์กลางการผลิตและการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ เช่น มาตรการลดหย่อนภาษี และการส่งเสริมการลงทุน ได้กระตุ้นให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้คือความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งก็คือ “สถานีชาร์จ EV”
การพัฒนาสถานีชาร์จในยุคแรกมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือการให้บริการชาร์จแก่รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มจำนวนขึ้น แต่ปัจจุบัน ทิศทางได้เปลี่ยนไปสู่การสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืนและชาญฉลาดมากขึ้น ผู้ให้บริการรายใหญ่ต่างแข่งขันกันพัฒนา “สถานีชาร์จอัจฉริยะ” หรือ Smart Charging Station ที่ไม่ได้ทำหน้าที่แค่จ่ายไฟ แต่ยังเชื่อมต่อกับเครือข่ายดิจิทัล เพื่ออำนวยความสะดวกสูงสุดแก่ผู้ใช้งาน ตั้งแต่การค้นหา จองคิว ไปจนถึงการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน
ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้ากำลังแข็งแกร่งขึ้น ยานยนต์ไฟฟ้าอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างเงียบๆ แต่ต่อเนื่อง คือกลุ่มจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งตอบโจทย์การเดินทางระยะสั้นในเมือง ลดปัญหาการจราจร และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่ผู้ใช้ยานพาหนะกลุ่มนี้กลับเผชิญกับข้อจำกัดในการชาร์จไฟนอกที่พักอาศัย คำถามที่ว่าสถานีชาร์จ EV ที่กำลังผุดขึ้นทั่วประเทศ จะสามารถเอื้อประโยชน์ต่อผู้ใช้ E-Bike ได้หรือไม่ จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจและส่งผลโดยตรงต่อทิศทางการสัญจรในเมืองอัจฉริยะของไทยในอนาคต
สถานีชาร์จอัจฉริยะ (Smart Charging) คืออะไร?
คำว่า “สถานีชาร์จอัจฉริยะ” ไม่ได้หมายถึงเพียงจุดจ่ายไฟที่มีเทคโนโลยีซับซ้อน แต่หมายถึงระบบที่เชื่อมต่อและสื่อสารข้อมูลได้แบบสองทางระหว่างผู้ใช้ ผู้ให้บริการ และระบบโครงข่ายไฟฟ้า เพื่อสร้างประสบการณ์การใช้งานที่มีประสิทธิภาพและชาญฉลาดยิ่งขึ้น
นิยามและหลักการทำงานที่แตกต่าง
สถานีชาร์จแบบดั้งเดิม (Non-smart charger) ทำหน้าที่เพียงอย่างเดียวคือจ่ายกระแสไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่ของยานยนต์เมื่อมีการเสียบสายชาร์จ โดยไม่มีการสื่อสารหรือการจัดการใดๆ ที่ซับซ้อน ในทางกลับกัน สถานีชาร์จอัจฉริยะถูกออกแบบให้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย IoT (Internet of Things) โดยมีการทำงานหลักดังนี้:
- การเชื่อมต่อข้อมูล: สถานีชาร์จจะเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์เซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถส่งและรับข้อมูลได้แบบเรียลไทม์
- การจัดการจากส่วนกลาง: ผู้ให้บริการสามารถตรวจสอบสถานะของหัวชาร์จทุกตัวในเครือข่ายได้จากระยะไกล เช่น สถานะว่าง/ไม่ว่าง, ปริมาณการใช้ไฟ, หรือการแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหา
- การโต้ตอบกับผู้ใช้: ผู้ใช้สามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ เช่น ค้นหาสถานีที่ใกล้ที่สุด, ตรวจสอบสถานะหัวชาร์จ, จองคิวล่วงหน้า, เริ่ม-หยุดการชาร์จ และชำระเงินออนไลน์
หัวใจของ Smart Charging คือการเปลี่ยนจุดชาร์จจากอุปกรณ์ไฟฟ้าแบบสแตนด์อโลนให้กลายเป็นอุปกรณ์เครือข่ายอัจฉริยะ ที่สามารถบริหารจัดการพลังงานและมอบบริการเสริมที่หลากหลายได้
คุณสมบัติเด่นที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ในยุคดิจิทัล
ในประเทศไทย ผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง EV Station PluZ, EA Anywhere, PEA VOLTA, และ PTG GIGA EV ล้วนแล้วแต่พัฒนาระบบสถานีชาร์จอัจฉริยะที่มีฟังก์ชันการใช้งานที่ทันสมัย เพื่อสร้างความสะดวกสบายและจูงใจให้คนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น คุณสมบัติเด่นที่พบได้ทั่วไป ได้แก่:
- การตรวจสอบสถานะแบบเรียลไทม์: ลดปัญหาน่าหงุดหงิดจากการเดินทางไปถึงสถานีแล้วพบว่าหัวชาร์จไม่ว่างหรือไม่พร้อมใช้งาน ผู้ใช้สามารถเช็คสถานะก่อนออกเดินทางได้ทันทีผ่านแอปพลิเคชัน
- ระบบการจองคิว: สำหรับสถานีที่มีความต้องการใช้งานสูง ผู้ใช้สามารถจองเวลาชาร์จล่วงหน้าได้ ทำให้สามารถวางแผนการเดินทางได้อย่างแม่นยำ
- การชำระเงินแบบไร้เงินสด: ทุกขั้นตอนตั้งแต่การเติมเงินเข้าระบบไปจนถึงการจ่ายค่าบริการ สามารถทำได้ครบจบในแอปพลิเคชันเดียว โดยตัดผ่านบัตรเครดิต/เดบิต หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์
- รองรับการชาร์จหลายรูปแบบ: สถานีส่วนใหญ่จะติดตั้งหัวชาร์จทั้งแบบ AC (Normal Charge) และ DC (Quick Charge) เพื่อรองรับความต้องการที่แตกต่างกันของรถยนต์แต่ละรุ่น ซึ่งคุณสมบัติในการจ่ายไฟได้หลายระดับกำลัง (Variable Power Output) นี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญสู่ศักยภาพในการรองรับ E-Bike ในอนาคต
E-Bike กับสถานีชาร์จอัจฉริยะ: โอกาสและความท้าทาย
แม้ว่าโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันจะถูกออกแบบมาเพื่อรถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่เทคโนโลยีเบื้องหลังของสถานีชาร์จอัจฉริยะกลับเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กอย่าง E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
ศักยภาพทางเทคโนโลยีในการรองรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
จุดเด่นที่สุดของสถานีชาร์จอัจฉริยะคือความสามารถในการ “สื่อสาร” และ “ปรับเปลี่ยน” การจ่ายพลังงานได้ ระบบควบคุมจากส่วนกลางสามารถสั่งการให้หัวชาร์จจ่ายกระแสไฟฟ้าในระดับแรงดัน (Voltage) และกระแส (Current) ที่แตกต่างกันได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการรองรับ E-Bike เนื่องจากจักรยานไฟฟ้ามีขนาดแบตเตอรี่ที่เล็กกว่าและใช้แรงดันไฟฟ้าต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้ามาก หากนำ E-Bike ไปเสียบกับหัวชาร์จ DC Quick Charge ที่ออกแบบมาสำหรับรถยนต์โดยตรง อาจก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อแบตเตอรี่ได้
ด้วยเทคโนโลยี Smart Charging ผู้ให้บริการสามารถสร้างโปรไฟล์การชาร์จสำหรับ E-Bike แยกต่างหาก เมื่อผู้ใช้เลือกโหมดชาร์จสำหรับ E-Bike ผ่านแอปพลิเคชัน สถานีจะปรับลดกำลังการจ่ายไฟลงมาให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับแบตเตอรี่ของจักรยานไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ ดังนั้น ในเชิงเทคนิคแล้ว สถานีชาร์จอัจฉริยะจึงมีศักยภาพเต็มเปี่ยมที่จะรองรับการชาร์จ E-Bike ได้
ความแตกต่างด้านความต้องการพลังงานและหัวชาร์จ
เพื่อให้เห็นภาพความท้าทายที่ชัดเจนขึ้น การเปรียบเทียบความต้องการพื้นฐานระหว่างรถยนต์ไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญ
| คุณสมบัติ | รถยนต์ไฟฟ้า (EV Car) | จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) |
|---|---|---|
| ขนาดแบตเตอรี่ (โดยเฉลี่ย) | 40 – 100 kWh | 0.4 – 0.8 kWh |
| แรงดันไฟฟ้าของระบบ | 400V – 800V | 36V – 48V |
| ประเภทหัวชาร์จสาธารณะ | Type 2 (AC), CCS2 (DC) | ยังไม่มีมาตรฐานกลาง (ส่วนใหญ่ใช้ปลั๊กไฟบ้าน) |
| กำลังการชาร์จ (AC) | 7.4 – 22 kW | ~0.1 – 0.3 kW (ผ่านอแดปเตอร์) |
| กำลังการชาร์จ (DC) | 50 – 350 kW | ไม่รองรับโดยตรงในปัจจุบัน |
จากตารางจะเห็นได้ว่าความแตกต่างนั้นมหาศาล ทั้งในแง่ของพลังงานและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ประเภทหัวชาร์จ” ซึ่งเป็นอุปสรรคทางกายภาพที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน
อุปสรรคด้านมาตรฐานและความเข้ากันได้
ปัญหาหลักที่ทำให้ E-Bike ยังไม่สามารถใช้สถานีชาร์จ EV สาธารณะได้ในวันนี้ มีอยู่ 2 ประการด้วยกัน:
- มาตรฐานหัวชาร์จ (Connector Standard): รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยใช้มาตรฐานหัวชาร์จ Type 2 สำหรับไฟ AC และ CCS Type 2 สำหรับไฟ DC เป็นหลัก ในขณะที่ E-Bike แต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นอาจมีหัวชาร์จที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองแตกต่างกันไป การจะทำให้ E-Bike สามารถชาร์จที่สถานีสาธารณะได้นั้น จำเป็นต้องมีการพัฒนามาตรฐานหัวชาร์จร่วมกัน หรือผู้ให้บริการสถานีต้องติดตั้งหัวชาร์จเสริมหลายๆ แบบ หรือมีอแดปเตอร์กลางไว้ให้บริการ
- โปรโตคอลการสื่อสาร (Communication Protocol): การชาร์จแบบอัจฉริยะ โดยเฉพาะการชาร์จแบบ DC Quick Charge จำเป็นต้องมีการสื่อสารข้อมูลระหว่างสถานีชาร์จกับระบบจัดการแบตเตอรี่ (Battery Management System – BMS) ของยานพาหนะ เพื่อควบคุมความเร็วในการชาร์จและ đảm bảoความปลอดภัย โปรโตคอลที่ใช้ในรถยนต์ไฟฟ้า (เช่น ISO 15118) นั้นซับซ้อนและแตกต่างจากที่ใช้ใน E-Bike การจะทำให้ใช้งานร่วมกันได้ จึงต้องมีการพัฒนาซอฟต์แวร์และโปรโตคอลกลางที่ทั้งสองฝั่งสามารถเข้าใจตรงกันได้
ทิศทางนโยบายและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน EV
แม้จะมีความท้าทายทางเทคนิค แต่แนวโน้มในภาพรวมยังคงเป็นบวกอย่างมาก โดยมีแรงผลักดันสำคัญจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เล็งเห็นถึงความสำคัญของระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจร
บทบาทภาครัฐในการขับเคลื่อนตลาด
รัฐบาลไทยได้กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการผลักดันนโยบาย 30@30 ซึ่งคือการตั้งเป้าผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle – ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี ค.ศ. 2030 (พ.ศ. 2573) เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จที่ครอบคลุมและเข้าถึงง่ายจึงเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ
นโยบายต่างๆ เช่น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ลงทุนสร้างสถานีชาร์จ และการสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐติดตั้งจุดชาร์จในพื้นที่ของตน ล้วนเป็นการปูทางไปสู่โครงข่ายที่หนาแน่นขึ้น นอกจากนี้ แนวคิดการพัฒนา “เมืองอัจฉริยะ” (Smart City) ที่หลายจังหวัดกำลังดำเนินการอยู่ ยังให้ความสำคัญกับการสัญจรที่ยั่งยืน ซึ่ง E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในระบบการเดินทางระยะสั้นหรือ “Last-mile Connectivity” การสนับสนุนให้มีจุดชาร์จสำหรับยานพาหนะเหล่านี้จึงสอดคล้องกับวิสัยทัศน์การพัฒนาเมืองโดยตรง
การขยายเครือข่ายของผู้ให้บริการเอกชน
ภาคเอกชนคือผู้เล่นหลักในการขยายเครือข่ายสถานีชาร์จในปัจจุบัน บริษัทพลังงาน, ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์, และผู้ประกอบการค้าปลีก ต่างกระโดดเข้ามาในตลาดนี้อย่างคึกคัก การแข่งขันที่สูงขึ้นส่งผลดีต่อผู้บริโภค ทั้งในแง่ของจำนวนสถานีที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพของบริการที่ดีขึ้น
ผู้ให้บริการเหล่านี้ตระหนักดีว่าตลาด EV ไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์ เมื่อจำนวนผู้ใช้ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ามีจำนวนมากขึ้นจนถึงจุดที่คุ้มค่าต่อการลงทุน การพัฒนาโซลูชันเพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มนี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างแน่นอน แพลตฟอร์มแอปพลิเคชันที่ผู้ให้บริการมีอยู่แล้ว สามารถต่อยอดเพื่อรองรับการชาร์จ E-Bike ได้ไม่ยากนัก ขอเพียงแค่มีการแก้ไขปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ (หัวชาร์จ) และมาตรฐานการสื่อสารให้ลุล่วงเสียก่อน ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า
บทสรุป: E-Bike จะใช้จุดชาร์จร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าได้เมื่อไหร่?
กลับมาที่คำถามตั้งต้น อนาคตจุดชาร์จ EV ไทย: E-Bike ใช้สถานีอัจฉริยะได้ไหม? คำตอบคือ “มีศักยภาพที่จะใช้ได้ และมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดขึ้นจริงในอนาคตอันใกล้” เทคโนโลยีพื้นฐานของสถานีชาร์จอัจฉริยะมีความยืดหยุ่นพอที่จะปรับกำลังไฟให้เหมาะสมกับ E-Bike ได้ แต่ความท้าทายที่ต้องก้าวข้ามคือการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับหัวชาร์จและโปรโตคอลการสื่อสาร
เมื่อตลาด E-Bike ในประเทศไทยเติบโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่พอ แรงกดดันจากผู้บริโภคและโอกาสทางธุรกิจจะผลักดันให้ผู้ให้บริการสถานีชาร์จและผู้ผลิต E-Bike หันมาหารือเพื่อสร้างมาตรฐานร่วมกัน เราอาจได้เห็นสถานีชาร์จรุ่นใหม่ที่มีหัวชาร์จสำหรับ E-Bike ติดตั้งมาด้วย หรืออาจมีตู้ชาร์จขนาดเล็กสำหรับ E-Bike โดยเฉพาะติดตั้งอยู่เคียงข้างตู้ชาร์จสำหรับรถยนต์ โดยทั้งหมดสามารถบริหารจัดการได้ผ่านแอปพลิเคชันเดียวกัน
ดังนั้น สำหรับผู้ใช้ E-Bike ในปัจจุบัน แม้จะยังต้องพึ่งพาการชาร์จที่บ้านเป็นหลัก แต่ภาพอนาคตที่การเดินทางไกลด้วย E-Bike จะสะดวกสบายขึ้น เพราะสามารถแวะชาร์จตามจุดบริการสาธารณะได้นั้น ไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริงอีกต่อไป
ค้นหาจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ
การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน EV เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผู้ที่สนใจการเดินทางที่สะอาดและประหยัด ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือจักรยานไฟฟ้า สำหรับผู้ที่กำลังมองหายานพาหนะไฟฟ้าส่วนบุคคลที่คล่องตัว เหมาะกับการใช้งานในเมือง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์
เตรียมพร้อมรับอนาคตแห่งการสัญจรที่ยั่งยืน ด้วยยานพาหนะไฟฟ้าคุณภาพที่คัดสรรมาเพื่อคุณ สามารถเยี่ยมชมสินค้าและรับคำปรึกษาได้ที่:
- Facebook: FACEBOOK PAGE
- LINE Official: LINE
- Website: ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม
