กฎหมาย E-Bike ปี 69: ต้องมีใบขับขี่? จดทะเบียนไหม? สรุปจบ
- ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายจักรยานไฟฟ้า
- ภาพรวมสถานการณ์กฎหมาย E-Bike ในปัจจุบัน
- การจำแนกประเภทจักรยานไฟฟ้าตามกฎหมายไทย
- พ.ร.บ. จราจรทางบก และหลักเกณฑ์การพิจารณา
- แนวโน้มกฎหมาย E-Bike ปี 2569 และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
- คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งานจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
- สรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ขับขี่ E-Bike
กระแสความนิยมยานพาหนะไฟฟ้า (EV) ที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกส่งผลให้จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ากลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ประเด็นด้านข้อบังคับทางกฎหมายยังคงเป็นคำถามสำคัญสำหรับผู้ใช้งานจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสงสัยเกี่ยวกับ กฎหมาย E-Bike ปี 69: ต้องมีใบขับขี่? จดทะเบียนไหม? สรุปจบ ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องการความชัดเจนเพื่อการใช้งานอย่างถูกต้องและปลอดภัย บทความนี้จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากกรอบกฎหมายปัจจุบัน เพื่อให้เห็นภาพรวมและแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับกฎหมายจักรยานไฟฟ้า
- ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีการประกาศใช้กฎหมายเฉพาะสำหรับจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ในปี พ.ศ. 2569 อย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐของไทย
- การพิจารณาว่า E-Bike ต้องจดทะเบียนหรือมีใบขับขี่หรือไม่ จะขึ้นอยู่กับการจำแนกประเภทตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก โดยใช้คุณลักษณะด้านกำลังมอเตอร์และความเร็วสูงสุดเป็นเกณฑ์หลัก
- โดยทั่วไป จักรยานไฟฟ้าที่มีกำลังต่ำและมีความเร็วไม่เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มักไม่เข้าข่ายเป็น “รถจักรยานยนต์” ทำให้ไม่ต้องจดทะเบียนหรือใช้ใบขับขี่
- ในทางกลับกัน ยานพาหนะไฟฟ้าสองล้อที่มีกำลังมอเตอร์สูงและทำความเร็วได้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด จะถูกจัดว่าเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องดำเนินการจดทะเบียน มี พ.ร.บ. คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์
- ผู้ใช้งานและผู้ที่สนใจควรติดตามประกาศอย่างเป็นทางการจากกรมการขนส่งทางบกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อรับทราบข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุด
ภาพรวมสถานการณ์กฎหมาย E-Bike ในปัจจุบัน
การเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทำให้เกิดคำถามสำคัญเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของยานพาหนะประเภทนี้ ผู้ใช้งานจำนวนมากยังคงสับสนว่าพาหนะของตนสามารถใช้งานบนท้องถนนได้อย่างถูกกฎหมายหรือไม่ และมีข้อบังคับใดบ้างที่ต้องปฏิบัติตาม ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ รวมถึงเป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการในการนำเข้าและจำหน่ายสินค้าให้สอดคล้องกับข้อกำหนด
ปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่ระบุถึง “จักรยานไฟฟ้า” โดยตรง ทำให้การบังคับใช้กฎหมายต้องอ้างอิงตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่ใช้กำกับดูแลยานพาหนะทุกประเภทบนท้องถนน หัวใจสำคัญของการพิจารณาจึงอยู่ที่ “การตีความ” ว่า E-Bike หรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคันนั้นๆ เข้าข่ายลักษณะของ “รถจักรยานยนต์” ตามที่กฎหมายนิยามไว้หรือไม่ ซึ่งปัจจัยชี้ขาดคือคุณสมบัติทางเทคนิคของตัวรถ โดยเฉพาะกำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าและความเร็วสูงสุดที่ทำได้
สถานการณ์ในปัจจุบันจึงมีลักษณะเป็นพื้นที่สีเทา เนื่องจาก E-Bike ในตลาดมีความหลากหลายสูง ตั้งแต่รุ่นที่มีลักษณะคล้ายจักรยานทั่วไป มีบันไดปั่น และใช้มอเตอร์ช่วยผ่อนแรง ไปจนถึงรุ่นที่มีลักษณะคล้ายสกู๊ตเตอร์หรือมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% โดยไม่มีบันไดปั่น ความแตกต่างนี้เองที่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายแตกต่างกันไปในแต่ละกรณี
การจำแนกประเภทจักรยานไฟฟ้าตามกฎหมายไทย
เพื่อทำความเข้าใจข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า สามารถแบ่งยานพาหนะเหล่านี้ออกเป็น 2 กลุ่มหลักตามการตีความของกฎหมายปัจจุบันได้ดังนี้
กลุ่มที่ไม่เข้าข่ายเป็นรถจักรยานยนต์: ไม่ต้องจดทะเบียนและใบขับขี่
ยานพาหนะในกลุ่มนี้คือจักรยานไฟฟ้าที่ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะและการใช้งานใกล้เคียงกับจักรยานธรรมดา โดยมีคุณสมบัติสำคัญดังนี้:
- กำลังมอเตอร์ต่ำ: โดยทั่วไป กำลังของมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่สูงมากนัก (เช่น ไม่เกิน 250-500 วัตต์) เพียงพอสำหรับการช่วยผ่อนแรงในการปั่น
- ความเร็วสูงสุดจำกัด: ความเร็วสูงสุดเมื่อใช้กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียวมักจะถูกจำกัดไว้ไม่ให้เกิน 25 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันในหลายประเทศ
- มีบันไดปั่น: การมีบันไดปั่นที่ใช้งานได้จริงเป็นองค์ประกอบสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ายานพาหนะดังกล่าวยังคงลักษณะของ “จักรยาน” อยู่ ไม่ได้พึ่งพากำลังจากมอเตอร์เพียงอย่างเดียว
ยานพาหนะที่มีคุณสมบัติดังกล่าว มักจะถูกตีความว่าไม่เข้าข่ายเป็น “รถ” หรือ “รถจักรยานยนต์” ตามนิยามของ พ.ร.บ. จราจรทางบก จึงทำให้ได้รับการยกเว้น ไม่จำเป็นต้องดำเนินการจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก และผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตขับรถ อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่ยังคงต้องปฏิบัติตามกฎจราจรสำหรับจักรยานและสวมใส่อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย เช่น หมวกกันน็อก
กลุ่มที่เข้าข่ายเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า: ต้องจดทะเบียนและใบขับขี่
ยานพาหนะไฟฟ้าสองล้อที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้จะมีสมรรถนะสูงและมีลักษณะใกล้เคียงกับรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาป โดยมีคุณสมบัติดังนี้:
- กำลังมอเตอร์สูง: มีกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าที่สูงเกินกว่าเกณฑ์ที่กำหนด (เช่น เกิน 500 วัตต์ขึ้นไป) ทำให้สามารถทำความเร็วและมีอัตราเร่งสูง
- ความเร็วสูงสุดเกินกำหนด: สามารถทำความเร็วสูงสุดได้เกิน 25-45 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอย่างชัดเจน ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเทียบเท่ารถจักรยานยนต์ทั่วไป
- ไม่มีบันไดปั่น: ส่วนใหญ่มักจะไม่มีบันไดปั่น และอาศัยกำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อน 100%
เมื่อยานพาหนะไฟฟ้ามีคุณสมบัติตามข้างต้น จะถูกตีความว่าเป็น “รถจักรยานยนต์” ตามกฎหมายทันที ส่งผลให้ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับทุกประการเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ทั่วไป ได้แก่:
- การจดทะเบียน: ต้องนำรถไปจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเพื่อขอรับแผ่นป้ายทะเบียนและเล่มทะเบียนรถ
- การจัดทำ พ.ร.บ.: ต้องทำประกันภัยภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เพื่อคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ
- ใบอนุญาตขับรถ: ผู้ขับขี่จะต้องมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ส่วนบุคคล
- การสวมหมวกกันน็อก: ผู้ขับขี่และผู้โดยสารต้องสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่ขับขี่
การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้จะถือว่ามีความผิดตามกฎหมายจราจรและกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ซึ่งมีโทษทั้งปรับและจำคุก
พ.ร.บ. จราจรทางบก และหลักเกณฑ์การพิจารณา
ความเข้าใจในนิยามศัพท์ทางกฎหมายภายใต้ พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 เป็นกุญแจสำคัญในการจำแนกประเภทของยานพาหนะไฟฟ้า เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้เป็นรากฐานของการควบคุมการจราจรในประเทศไทย
นิยามของ “รถ” และ “รถจักรยานยนต์” ตามกฎหมาย
ตามมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ. จราจรทางบก ได้ให้นิยามคำศัพท์ที่เกี่ยวข้องไว้ดังนี้:
“รถ” หมายความว่า ยานพาหนะทางบกทุกชนิด เว้นแต่รถไฟและรถราง
“รถจักรยานยนต์” หมายความว่า รถที่เดินด้วยกำลังเครื่องยนต์หรือกำลังไฟฟ้า และมีล้อไม่เกินสองล้อ ถ้ามีพ่วงข้างมีล้อเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งล้อ
จากนิยามข้างต้น จะเห็นได้ว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยานพาหนะสองล้อถูกจัดเป็น “รถจักรยานยนต์” คือการขับเคลื่อนด้วย “กำลังเครื่องยนต์หรือกำลังไฟฟ้า” ซึ่งการตีความในทางปฏิบัติมักจะพิจารณาถึงสมรรถนะของยานพาหนะเป็นหลัก หากยานพาหนะนั้นมีสมรรถนะต่ำมากจนเทียบเท่าได้กับจักรยานถีบ ก็อาจไม่ถูกนับรวมว่าเป็นรถจักรยานยนต์ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการควบคุมยานพาหนะที่มีความเร็วและอันตราย
การเปรียบเทียบข้อกำหนดทางกฎหมาย
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น สามารถเปรียบเทียบข้อกำหนดสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าทั้งสองประเภทได้ดังตารางต่อไปนี้
| หัวข้อ | จักรยานไฟฟ้ากำลังต่ำ (ไม่เข้าข่ายรถจักรยานยนต์) | รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (เข้าข่ายรถจักรยานยนต์) |
|---|---|---|
| ความเร็วสูงสุด (โดยประมาณ) | ไม่เกิน 25 กม./ชม. | มากกว่า 25-45 กม./ชม. ขึ้นไป |
| กำลังมอเตอร์ (โดยประมาณ) | ไม่เกิน 250-500 วัตต์ | มากกว่า 500 วัตต์ขึ้นไป |
| การจดทะเบียน | ไม่ต้องจดทะเบียน | ต้องจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก |
| ใบอนุญาตขับรถ | ไม่ต้องมีใบขับขี่ | ต้องมีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์ |
| พ.ร.บ. ภาคบังคับ | ไม่ต้องทำ | ต้องทำ |
| การสวมหมวกกันน็อก | แนะนำเพื่อความปลอดภัย (กฎหมายไม่บังคับ) | บังคับตามกฎหมาย |
แนวโน้มกฎหมาย E-Bike ปี 2569 และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
แม้ว่าปัจจุบันจะยังไม่มีกฎหมาย E-Bike สำหรับปี 2569 ที่ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ แต่มีหลายปัจจัยที่บ่งชี้ว่าอาจมีการปรับปรุงหรือออกกฎระเบียบใหม่ๆ เพื่อให้ครอบคลุมยานพาหนะประเภทนี้โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้
ปัจจัยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงกฎหมาย
- ความปลอดภัยบนท้องถนน: จำนวนผู้ใช้ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำมาซึ่งความกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุ ภาครัฐอาจพิจารณาออกกฎหมายเพื่อควบคุมมาตรฐานความปลอดภัยของตัวรถ กำหนดความเร็วสูงสุด และข้อปฏิบัติในการขับขี่ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
- นโยบายส่งเสริมยานพาหนะไฟฟ้า: รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนการใช้ยานพาหนะไฟฟ้าเพื่อลดมลพิษ การมีกฎหมายที่ชัดเจนสำหรับ E-Bike จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและส่งเสริมตลาดให้เติบโตอย่างเป็นระบบ
- การจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม: การกำหนดให้ E-Bike บางประเภทต้องจดทะเบียน จะทำให้ภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีประจำปีและค่าธรรมเนียมต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ของรัฐและสามารถนำไปพัฒนาระบบคมนาคมต่อไป
มาตรฐานสากลและกรณีศึกษาจากต่างประเทศ
หน่วยงานภาครัฐของไทยอาจพิจารณา πρότυπο (มาตรฐาน) จากต่างประเทศมาปรับใช้ ตัวอย่างที่น่าสนใจคือประเทศจีน ซึ่งกำลังจะบังคับใช้มาตรฐานใหม่สำหรับจักรยานไฟฟ้าทั่วประเทศในวันที่ 1 กันยายน 2568 โดยมีการกำหนดคุณสมบัติที่ชัดเจน เช่น ความเร็วสูงสุดไม่เกิน 25 กม./ชม. และอาจมีเทคโนโลยีภาคบังคับเพื่อความปลอดภัย เช่น ระบบ GPS และการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ เพื่อลดอุบัติเหตุและการดัดแปลงที่ผิดกฎหมาย แนวทางลักษณะนี้อาจเป็นต้นแบบที่ประเทศไทยนำมาพิจารณาเพื่อสร้างกรอบกฎหมายของตนเองในอนาคต
ช่องทางการติดตามข้อมูลที่เป็นทางการ
สำหรับผู้ที่ต้องการข้อมูลล่าสุดและถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับกฎหมาย E-Bike ในอนาคต ควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง ได้แก่:
- กรมการขนส่งทางบก (Department of Land Transport): เป็นหน่วยงานหลักในการออกกฎระเบียบเกี่ยวกับการจดทะเบียนยานพาหนะและใบอนุญาตขับขี่
- กระทรวงคมนาคม (Ministry of Transport): เป็นหน่วยงานกำกับดูแลนโยบายด้านการคมนาคมขนส่งทั้งหมด
- ราชกิจจานุเบกษา (Royal Thai Government Gazette): เป็นแหล่งประกาศใช้กฎหมายและข้อบังคับต่างๆ อย่างเป็นทางการ
คำแนะนำสำหรับผู้ใช้งานจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
ในระหว่างที่รอความชัดเจนทางกฎหมายสำหรับปี 2569 ผู้ใช้งานปัจจุบันและผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อ E-Bike ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการทำผิดกฎหมาย
การเลือกซื้ออย่างชาญฉลาดและปลอดภัย
ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบคุณสมบัติทางเทคนิคของยานพาหนะอย่างละเอียด โดยเฉพาะกำลังวัตต์ของมอเตอร์ (Watt) และความเร็วสูงสุด (Top Speed) ที่ระบุไว้โดยผู้ผลิต หากต้องการหลีกเลี่ยงความยุ่งยากในการจดทะเบียนและทำใบขับขี่ ควรเลือกซื้อรุ่นที่มีสมรรถนะอยู่ในเกณฑ์ของจักรยานไฟฟ้ากำลังต่ำ คือมีความเร็วไม่เกิน 25 กม./ชม. และควรเลือกรุ่นที่มีบันไดปั่นเพื่อความชัดเจนในสถานะทางกฎหมาย นอกจากนี้ การเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือและให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ข้อควรปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
ไม่ว่า E-Bike ที่ใช้งานจะต้องจดทะเบียนหรือไม่ ความปลอดภัยยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้ขับขี่ควรปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยพื้นฐานอย่างเคร่งครัด:
- สวมหมวกกันน็อก: แม้กฎหมายอาจไม่บังคับสำหรับ E-Bike กำลังต่ำ แต่การสวมหมวกกันน็อกทุกครั้งที่ขับขี่สามารถช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บที่ศีรษะหากเกิดอุบัติเหตุได้
- ปฏิบัติตามกฎจราจร: ขับขี่โดยปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจรและป้ายจราจรต่างๆ ใช้สัญญาณมือก่อนเลี้ยวหรือเปลี่ยนช่องทาง และขับขี่ในช่องทางที่เหมาะสม
- ติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย: ควรติดตั้งไฟส่องสว่างทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงอุปกรณ์สะท้อนแสง เพื่อให้ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นสามารถมองเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
- บำรุงรักษาสม่ำเสมอ: ตรวจสอบสภาพของเบรก ยาง และระบบไฟฟ้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ยานพาหนะอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานและปลอดภัย
สรุปและแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ขับขี่ E-Bike
โดยสรุป สำหรับคำถามที่ว่า กฎหมาย E-Bike ปี 69: ต้องมีใบขับขี่? จดทะเบียนไหม? คำตอบ ณ เวลานี้คือยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ประกาศออกมาสำหรับปี 2569 การบังคับใช้ยังคงอิงตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก ฉบับปัจจุบัน ซึ่งจำแนกยานพาหนะตามสมรรถนะเป็นหลัก หาก E-Bike มีกำลังและสมรรถนะเทียบเท่าจักรยานทั่วไป ก็ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนหรือมีใบขับขี่ แต่หากมีสมรรถนะสูงเทียบเท่ารถจักรยานยนต์ ก็จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่นเดียวกับรถจักรยานยนต์ทุกประการ
แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้งานคือการติดตามข้อมูลจากหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด และในระหว่างนี้ให้ยึดหลักความปลอดภัยในการขับขี่เป็นสำคัญ สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐานและเป็นไปตามข้อกำหนด การเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่เชี่ยวชาญและไว้วางใจได้จึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด
GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike ทุกประเภท ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเดินทางอย่างมีสไตล์และปลอดภัย พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและสอดคล้องกับข้อบังคับต่างๆ
สามารถเข้ามาเยี่ยมชมและทดลองขับขี่ได้ที่ร้าน หรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
FACEBOOK PAGE | LINE | ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม
เวลาทำการ: ทุกวันจันทร์ – เสาร์ (เวลา 9.00 – 18.00 น.)
โทร: 061-962-2878
ที่ตั้งร้าน: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
