มาตรการรัฐ EV 3.5: ซื้อ E-Bike มีส่วนลดอะไรบ้าง?
- ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับมาตรการ EV 3.5 และ E-Bike
- ภาพรวมและเป้าหมายของมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5
- ไขข้อสงสัย: E-Bike ได้รับเงินอุดหนุนจากมาตรการ EV 3.5 หรือไม่?
- สิทธิประโยชน์สำหรับ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ที่เข้าเกณฑ์ EV 3.5
- เปรียบเทียบความคุ้มครองระหว่างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและ E-Bike
- บริบทของมาตรการ EV 3.5 สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น
- ข้อพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อจักรยานไฟฟ้าในปี 2568
- สรุปและแนวทางการเลือกซื้อยานยนต์ไฟฟ้า
การประกาศนโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าเฟสสอง หรือ มาตรการรัฐ EV 3.5: ซื้อ E-Bike มีส่วนลดอะไรบ้าง? ได้กลายเป็นคำถามสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า มาตรการนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค แต่สิทธิประโยชน์ที่มอบให้กลับมีความเฉพาะเจาะจงสูง บทความนี้จะวิเคราะห์รายละเอียดของมาตรการ EV 3.5 เพื่อชี้แจงให้เห็นว่ายานพาหนะประเภทใดได้รับประโยชน์ และผู้ที่สนใจซื้อ E-Bike ควรทราบข้อมูลใดบ้างก่อนตัดสินใจ
ประเด็นสำคัญเกี่ยวกับมาตรการ EV 3.5 และ E-Bike
- E-Bike ไม่เข้าเกณฑ์: มาตรการ EV 3.5 ไม่ได้มอบเงินอุดหนุนหรือสิทธิลดหย่อนภาษีโดยตรงสำหรับจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) หรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าทั่วไป
- เน้นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า: สิทธิประโยชน์สำหรับยานพาหนะสองล้อจะมอบให้กับ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ที่ผลิตในประเทศและมีคุณสมบัติตรงตามที่กำหนดเท่านั้น
- เงินอุดหนุน 10,000 บาท: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าเกณฑ์จะได้รับเงินอุดหนุนคงที่ 10,000 บาทต่อคัน ตลอดระยะเวลาโครงการ 4 ปี (พ.ศ. 2567-2570)
- เกณฑ์คุณสมบัติสำคัญ: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าต้องมีราคาไม่เกิน 150,000 บาท และมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 kWh ขึ้นไป จึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมมาตรการ
- เป้าหมายหลักของนโยบาย: วัตถุประสงค์ของ EV 3.5 คือการส่งเสริมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า รถกระบะไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อสร้างระบบนิเวศอุตสาหกรรม EV ที่แข็งแกร่ง
ภาพรวมและเป้าหมายของมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5
มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เป็นนโยบายต่อเนื่องจากมาตรการ EV 3.0 ที่สิ้นสุดไป โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2567 และจะดำเนินไปจนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2570 นโยบายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรักษาแรงผลักดันในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า และส่งเสริมให้ประเทศไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญของโลก
ระยะเวลาและวัตถุประสงค์หลัก
มาตรการ EV 3.5 มีกรอบระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี (พ.ศ. 2567-2570) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศควบคู่ไปกับการสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการผลิต รัฐบาลมุ่งหวังที่จะดึงดูดการลงทุนจากผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทย ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทั้งฝั่งผู้ซื้อและผู้ผลิต เพื่อให้เกิดการจ้างงาน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนาอุตสาหกรรมชิ้นส่วนที่เกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบ
ประเภทของยานยนต์ไฟฟ้าที่ครอบคลุม
นโยบาย EV 3.5 กำหนดขอบเขตของยานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับสิทธิประโยชน์ไว้อย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
- รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Cars): รถยนต์นั่งส่วนบุคคลที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% ได้รับทั้งเงินอุดหนุน (ซึ่งจะลดหลั่นลงในแต่ละปี), การลดอากรนำเข้าสำหรับรถยนต์ CBU (Completely Built-Up) ในช่วง 2 ปีแรก และการลดอัตราภาษีสรรพสามิต
- รถกระบะไฟฟ้า (Electric Pickup Trucks): เน้นสนับสนุนรถกระบะไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศ (CKD – Completely Knocked-Down) เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ที่เป็นจุดแข็งของไทย
- รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycles): ยานพาหนะสองล้อไฟฟ้าที่เข้าข่ายต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศและมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ซึ่งเป็นกลุ่มที่มักเกิดความสับสนกับจักรยานไฟฟ้าทั่วไป
จากขอบเขตดังกล่าว จะเห็นได้ว่านโยบายนี้มุ่งเน้นไปที่ยานยนต์ที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่และต้องจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกเป็นหลัก
ไขข้อสงสัย: E-Bike ได้รับเงินอุดหนุนจากมาตรการ EV 3.5 หรือไม่?
คำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามนี้คือ “ไม่” มาตรการ EV 3.5 ไม่ได้ครอบคลุมถึงจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในความหมายทั่วไปที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ เงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีถูกสงวนไว้สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าประเภท “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ที่มีคุณสมบัติเฉพาะตามที่ภาครัฐกำหนดเท่านั้น การทำความเข้าใจนิยามของยานพาหนะทั้งสองประเภทจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ความแตกต่างระหว่าง “จักรยานไฟฟ้า (E-Bike)” และ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า”
แม้จะใช้พลังงานไฟฟ้าเหมือนกัน แต่ยานพาหนะสองประเภทนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งในด้านโครงสร้าง กฎหมาย และคุณสมบัติทางเทคนิค
- จักรยานไฟฟ้า (E-Bike): โดยทั่วไปหมายถึงจักรยานที่มีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อช่วยผ่อนแรงในการปั่น (Pedal-assist) หรือมีคันเร่งขนาดเล็ก ความเร็วสูงสุดมักไม่สูงมากนัก มีโครงสร้างพื้นฐานเป็นจักรยาน สามารถใช้ปั่นแบบปกติได้ และส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก แบตเตอรี่มักมีขนาดเล็กกว่า 3 kWh
- รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Motorcycle): มีโครงสร้างเป็นรถจักรยานยนต์เต็มรูปแบบ ไม่มีบันไดปั่น ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว มีสมรรถนะและความเร็วสูงกว่า E-Bike จำเป็นต้องจดทะเบียนและมีแผ่นป้ายทะเบียนตามกฎหมาย ผู้ขับขี่ต้องมีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ และรถต้องมีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความปลอดภัยที่กำหนด
มาตรการ EV 3.5 ให้เงินอุดหนุนเฉพาะ ‘รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า’ ที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์เท่านั้น ซึ่งต้องเป็นรถที่ผลิตในประเทศและผ่านการทดสอบมาตรฐาน ไม่ครอบคลุม ‘จักรยานไฟฟ้า’ หรือ E-Bike ที่ใช้งานทั่วไป
สถานะของ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในมาตรการปัจจุบัน
เนื่องจาก E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าไม่เข้าข่ายคำนิยามของ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ตามที่ระบุในมาตรการ EV 3.5 จึงทำให้ยานพาหนะกลุ่มนี้ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเงินอุดหนุน, การลดหย่อนภาษี EV, หรือสิทธิพิเศษอื่นๆ ดังนั้น ผู้ที่วางแผนจะซื้อจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจึงไม่สามารถคาดหวังส่วนลดจากนโยบายของรัฐบาลในครั้งนี้ได้ ราคาที่จำหน่ายในตลาดจึงเป็นราคาเต็มที่ยังไม่หักเงินสนับสนุนใดๆ
สิทธิประโยชน์สำหรับ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ที่เข้าเกณฑ์ EV 3.5
สำหรับผู้ที่สนใจ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งเป็นยานพาหนะสองล้อประเภทเดียวที่ได้รับสิทธิตามมาตรการ EV 3.5 การทำความเข้าใจเงื่อนไขและรายละเอียดของสิทธิประโยชน์เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถเลือกรุ่นที่ถูกต้องและได้รับส่วนลดตามที่รัฐบาลกำหนด
เงื่อนไขและคุณสมบัติของรถที่ได้รับสิทธิ
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่จะได้รับเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนทุกข้อดังต่อไปนี้:
- การผลิต: ต้องเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย (CKD)
- ราคา: มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 150,000 บาท (หนึ่งแสนห้าหมื่นบาทถ้วน)
- แบตเตอรี่: ต้องใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป
- มาตรฐาน: ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานสากลจากศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC)
เงื่อนไขเหล่านี้ถูกกำหนดขึ้นเพื่อส่งเสริมผู้ผลิตในประเทศที่ลงทุนสร้างโรงงานและสายการผลิต อีกทั้งยังเป็นการสร้างมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพให้กับผู้บริโภค
รายละเอียดเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี
รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผ่านเกณฑ์คุณสมบัติข้างต้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ 2 ส่วนหลัก คือ:
- เงินอุดหนุน: ได้รับเงินอุดหนุนจากภาครัฐเป็นจำนวน 10,000 บาทต่อคัน ข้อแตกต่างที่สำคัญจากรถยนต์ไฟฟ้าคือ เงินอุดหนุนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นอัตราคงที่ตลอดระยะเวลา 4 ปีของโครงการ (พ.ศ. 2567-2570) ไม่มีการปรับลดลงในแต่ละปี
- ภาษีสรรพสามิต: ได้รับการลดอัตราภาษีสรรพสามิตเหลือเพียง 1% จากอัตราปกติ ซึ่งช่วยให้ผู้ผลิตสามารถทำราคาขายปลีกได้น่าสนใจยิ่งขึ้น
สิทธิประโยชน์เหล่านี้ไม่มีการลดหย่อนอากรนำเข้าชิ้นส่วนหรือตัวรถ CBU เหมือนในกรณีของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นการตอกย้ำเป้าหมายในการผลักดันฐานการผลิตภายในประเทศเป็นสำคัญ
เปรียบเทียบความคุ้มครองระหว่างรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าและ E-Bike
| คุณสมบัติ / สิทธิประโยชน์ | รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (ตามเกณฑ์ EV 3.5) | จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) / สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า |
|---|---|---|
| เงินอุดหนุนจากรัฐบาล | 10,000 บาท/คัน | ไม่ได้รับ |
| การลดหย่อนภาษีสรรพสามิต | ลดเหลือ 1% | ไม่ได้รับ |
| เงื่อนไขแบตเตอรี่ขั้นต่ำ | ต้องมีขนาด ≥ 3 kWh | ไม่มีข้อกำหนด |
| เงื่อนไขราคาขายปลีก | ต้องไม่เกิน 150,000 บาท | ไม่มีข้อกำหนด |
| เงื่อนไขแหล่งผลิต | ต้องผลิตในประเทศไทย | ไม่มีข้อกำหนด |
| การครอบคลุมในมาตรการ | ครอบคลุม | ไม่ครอบคลุม |
บริบทของมาตรการ EV 3.5 สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทอื่น
เพื่อให้เห็นภาพรวมของนโยบายได้ชัดเจนขึ้น ควรพิจารณาสิทธิประโยชน์สำหรับยานยนต์ประเภทอื่นควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของมาตรการนี้ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้านั่งส่วนบุคคลที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ดังนี้:
- เงินอุดหนุน: เงินอุดหนุนจะลดลงตามปี โดยในปี 2567-2568 สำหรับรถที่มีแบตเตอรี่ ≥50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 100,000 บาท และลดลงเหลือ 50,000 บาทในปี 2569-2570
- การลดอากรนำเข้า: สำหรับรถยนต์นำเข้าทั้งคัน (CBU) จะได้รับการลดอากรนำเข้าสูงสุด 40% ในช่วงปี 2567-2568 เพื่อกระตุ้นตลาดในช่วงที่การผลิตในประเทศยังไม่เต็มที่
- ภาษีสรรพสามิต: อัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ถูกปรับลดลงเหลือเพียง 2%
โครงสร้างสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลมีเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงสำหรับยานยนต์แต่ละประเภท โดยมุ่งเน้นการสร้างสมดุลระหว่างการกระตุ้นตลาดในระยะสั้นและการส่งเสริมการลงทุนผลิตในระยะยาว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อภาพรวมของ รถ EV ราคา ในตลาดประเทศไทยโดยตรง
ข้อพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อจักรยานไฟฟ้าในปี 2568
แม้ว่าจักรยานไฟฟ้าจะไม่ได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงจากมาตรการรัฐ EV 3.5 แต่ยานพาหนะประเภทนี้ยังคงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางในเมือง ด้วยข้อดีหลายประการทั้งความคล่องตัว ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำ และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สำหรับผู้ที่สนใจ ซื้อจักรยานไฟฟ้า 2568 ควรพิจารณาปัจจัยต่อไปนี้
ตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ
นโยบายของภาครัฐอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีมาตรการใหม่ออกมาในอนาคต ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือสอบถามโดยตรงกับผู้จัดจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้แน่ใจว่าได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุด
ประเมินความคุ้มค่านอกเหนือจากเงินอุดหนุน
การตัดสินใจไม่ควรขึ้นอยู่กับเงินอุดหนุนเพียงอย่างเดียว ควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เช่น การประหยัดค่าเชื้อเพลิงเมื่อเทียบกับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ใช้น้ำมัน ค่าบำรุงรักษาที่ต่ำกว่า ความสะดวกในการหาที่จอดรถ และประโยชน์ต่อสุขภาพจากการได้ออกกำลังกายหากเลือกรุ่นที่มีระบบช่วยปั่น ปัจจัยเหล่านี้อาจสร้างความคุ้มค่าที่มากกว่าเงินอุดหนุนที่ได้รับในครั้งเดียว
สรุปและแนวทางการเลือกซื้อยานยนต์ไฟฟ้า
โดยสรุป มาตรการรัฐ EV 3.5 ไม่ได้ให้เงินอุดหนุนหรือส่วนลดโดยตรงแก่ผู้ซื้อจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า สิทธิประโยชน์ที่มอบให้ในกลุ่มยานพาหนะสองล้อนั้นจำกัดอยู่เพียง “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ที่ผลิตในประเทศและมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนดอย่างเคร่งครัด ซึ่งจะได้รับเงินอุดหนุน 10,000 บาทต่อคันและลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 1%
อย่างไรก็ตาม จักรยานไฟฟ้ายังคงเป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเดินทางส่วนบุคคลที่ต้องการความคล่องตัว ประหยัด และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกซื้อยานพาหนะไฟฟ้าจึงควรพิจารณาจากวัตถุประสงค์การใช้งานและไลฟ์สไตล์เป็นสำคัญ
สำหรับผู้ที่กำลังมองหายานยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การเดินทางในเมือง GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมที่จำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike คุณภาพสูง ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกความต้องการ พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำ
สามารถติดต่อเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
- FACEBOOK PAGE: https://www.facebook.com/giantshoppingmall
- LINE: @705dancc
- ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม: คลิกที่นี่
เวลาทำการ: เปิดทุกวัน จันทร์ – เสาร์ (เวลา 9.00 – 18.00 น.)
โทรศัพท์: 061-962-2878
ที่ตั้ง: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
