ภาษีคาร์บอน 2569: E-Bike คือทางรอดค่าน้ำมันแพง?
นโยบายภาษีคาร์บอนเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่หลายประเทศทั่วโลกนำมาใช้เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สำหรับประเทศไทย การเตรียมความพร้อมในการบังคับใช้มาตรการนี้กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาคพลังงานและภาคขนส่งอย่างมีนัยสำคัญ
ประเด็นสำคัญที่น่าจับตามอง
- การบังคับใช้ภาษีคาร์บอน: ประเทศไทยมีแผนจะเริ่มบังคับใช้มาตรการภาษีคาร์บอนอย่างเป็นรูปธรรมภายในปี 2569 โดยมุ่งเป้าไปที่ภาคพลังงานและภาคขนส่งเป็นหลัก เพื่อกระตุ้นการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
- ผลกระทบต่อราคาน้ำมัน: การจัดเก็บภาษีคาร์บอนจะทำให้ต้นทุนของเชื้อเพลิงฟอสซิลสูงขึ้น ส่งผลโดยตรงต่อราคาน้ำมันขายปลีกที่ผู้บริโภคต้องจ่าย ซึ่งอาจกลายเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน
- ยานยนต์ไฟฟ้าเป็นทางเลือก: มาตรการทางภาษีนี้จะสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคและภาคธุรกิจหันมาพิจารณาใช้ยานยนต์ทางเลือกที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ เช่น รถยนต์ไฟฟ้า (EV) รวมถึงจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
- ความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน: แม้ยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นทางออกที่น่าสนใจ แต่ประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น จำนวนสถานีชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุม และความพร้อมของระบบสาธารณูปโภค
- การปรับตัวของภาคธุรกิจ: ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยคาร์บอนสูงจำเป็นต้องวางแผนปรับตัว เพื่อลดผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและรักษาความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว
ส่วนนำ (Lead)
ประเด็นเรื่อง ภาษีคาร์บอน 2569: E-Bike คือทางรอดค่าน้ำมันแพง? กำลังเป็นที่จับตามองอย่างกว้างขวาง เนื่องจากนโยบายดังกล่าวถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการใช้พลังงานในภาคขนส่งของประเทศไทย การกำหนดอัตราภาษีตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะทำให้ยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สถานการณ์นี้จึงกระตุ้นให้เกิดการแสวงหาทางเลือกใหม่ในการเดินทางที่ประหยัดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยจักรยานไฟฟ้าหรือ E-Bike ได้กลายเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้คนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ซึ่งอาจเป็นคำตอบของการเดินทางในยุคที่ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บทนำ (Introduction)
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นวิกฤตการณ์ระดับโลกที่ทุกประเทศต้องร่วมมือกันแก้ไข ประเทศไทยในฐานะส่วนหนึ่งของประชาคมโลกได้แสดงเจตจำนงในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี พ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี พ.ศ. 2608 เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว รัฐบาลจึงได้เตรียมนำเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์อย่าง “ภาษีคาร์บอน” (Carbon Tax) มาบังคับใช้ ซึ่งนโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบการในวงกว้าง โดยเฉพาะผู้ที่พึ่งพาการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก ดังนั้น การทำความเข้าใจถึงหลักการและผลกระทบของนโยบายนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถเตรียมความพร้อมและปรับตัวได้อย่างทันท่วงที
นโยบายภาษีคาร์บอน 2569 คืออะไรและสำคัญอย่างไร
ภาษีคาร์บอน คือ การเก็บภาษีจากกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกตัวหลักที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน หลักการพื้นฐานของภาษีนี้คือการสร้างต้นทุนให้กับการปล่อยมลพิษ เพื่อจูงใจให้ผู้ก่อมลพิษลดการปล่อยคาร์บอนลง สำหรับประเทศไทย กรมสรรพสามิตได้วางแนวทางการจัดเก็บภาษีคาร์บอนโดยจะเริ่มจากกลุ่มเชื้อเพลิงและภาคขนส่งก่อน โดยมีกำหนดการบังคับใช้ที่ชัดเจนขึ้นในปี 2569
เป้าหมายหลักของการจัดเก็บภาษีคาร์บอน
วัตถุประสงค์หลักของนโยบายนี้ไม่ได้มุ่งเน้นการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐเป็นสำคัญ แต่เป็นการใช้มาตรการทางการคลังเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในสังคมไปสู่เป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายเฉพาะดังนี้:
- ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก: สร้างแรงกดดันให้ภาคอุตสาหกรรมและภาคขนส่งลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและหันไปใช้พลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่า
- ส่งเสริมเทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ: กระตุ้นให้เกิดการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ประหยัดพลังงาน เช่น รถยนต์ไฮบริด (Hybrid), ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และรถยนต์ไฟฟ้า (EV)
- สร้างความเป็นธรรมด้านสิ่งแวดล้อม: ใช้หลักการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) โดยให้ผู้ที่ปล่อยคาร์บอนในปริมาณสูงต้องรับผิดชอบต้นทุนทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น
- เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน: เตรียมความพร้อมให้ภาคอุตสาหกรรมไทยสามารถรับมือกับมาตรการกีดกันทางการค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM)
โครงสร้างอัตราภาษีใหม่ที่ต้องรู้
โครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่จะอิงตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นเกณฑ์หลัก ยิ่งรถยนต์ปล่อยคาร์บอนมากเท่าไหร่ อัตราภาษีก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนไปยังผู้ผลิตและผู้บริโภคให้หันมาให้ความสำคัญกับยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยอัตราภาษีมีการกำหนดเป็นขั้นบันไดและจะทยอยปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต
| ปริมาณการปล่อย CO₂ (กรัม/กม.) | อัตราภาษี ปี 2569 | อัตราภาษี ปี 2573 |
|---|---|---|
| น้อยกว่า 100 | 13% | 15% |
| 101 – 150 | 17% | 20% |
| 151 – 200 | 25% | 28% |
| มากกว่า 200 | 35% | 38% |
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีมาตรการสนับสนุนสำหรับยานยนต์ประหยัดพลังงาน โดยกลุ่มรถยนต์ Hybrid, PHEV และ Mild Hybrid ที่มีการปล่อยคาร์บอนไม่เกิน 100 กรัม/กม. จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเสียภาษีในอัตราคงที่ 6% ตลอดช่วงปี 2569-2575 ซึ่งเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้รถยนต์กลุ่มนี้มีความน่าสนใจมากขึ้น
ผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคและภาคขนส่ง
การบังคับใช้ภาษีคาร์บอนจะส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ โดยเริ่มต้นจากต้นทุนของภาคพลังงานที่สูงขึ้น และท้ายที่สุดภาระดังกล่าวจะถูกส่งต่อไปยังผู้บริโภคปลายทางในรูปแบบของราคาสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าใช้จ่ายด้านการเดินทาง
ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
น้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากฟอสซิลจะถูกจัดเก็บภาษีคาร์บอนโดยตรง ในเบื้องต้นมีการคาดการณ์อัตราการเก็บภาษีอยู่ที่ 200 บาทต่อตันคาร์บอนเทียบเท่า ซึ่งจะถูกนำไปคำนวณตามค่าการปล่อยคาร์บอนของน้ำมันแต่ละชนิด แม้ว่าตัวเลขนี้อาจดูไม่สูงมากนักในระยะแรก แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น และมีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นในอนาคตเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ผลที่ตามมาคือราคาน้ำมันหน้าปั๊มจะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้ที่ใช้รถยนต์เครื่องยนต์สันดาปต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นโดยตรง
แรงผลักดันสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเดินทาง
เมื่อต้นทุนการใช้รถยนต์ส่วนตัวที่ใช้น้ำมันสูงขึ้น ผู้บริโภคจะเริ่มมองหาทางเลือกอื่นในการเดินทางเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย พฤติกรรมการเดินทางจึงมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปในหลายทิศทาง:
- การเปลี่ยนไปใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV): รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งไม่มีการปล่อยไอเสียขณะใช้งาน จะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้มากที่สุด ทำให้ราคาและต้นทุนการเป็นเจ้าของมีความน่าสนใจมากขึ้นเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาป
- การเลือกใช้รถยนต์ประหยัดพลังงาน: รถยนต์กลุ่มไฮบริดจะกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ยังไม่พร้อมเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ เนื่องจากมีอัตราการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
- การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ: ประชาชนอาจหันมาใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะมากขึ้น เช่น รถไฟฟ้า รถโดยสารประจำทาง เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางส่วนบุคคล
- การมองหายานพาหนะทางเลือกขนาดเล็ก: สำหรับการเดินทางในระยะใกล้ภายในเมือง ยานพาหนะขนาดเล็กอย่างจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจะกลายเป็นทางออกที่สำคัญ เนื่องจากมีต้นทุนการใช้งานที่ต่ำมากและไม่ต้องเสียภาษีคาร์บอน
ถ้าภาษีคาร์บอนมีผลบังคับใช้จริง รถยนต์แบบเดิมที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนสูงจะเสียภาษีแพงขึ้นมาก พฤติกรรมผู้บริโภคจึงต้องเปลี่ยนแน่นอน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและภาษีที่เพิ่มขึ้น
จักรยานไฟฟ้า (E-Bike): ทางรอดที่คุ้มค่าจริงหรือ?
ท่ามกลางแรงกดดันจากราคาน้ำมันและภาระทางภาษีที่เพิ่มขึ้น จักรยานไฟฟ้า หรือ E-Bike กำลังได้รับความสนใจในฐานะยานพาหนะทางเลือกสำหรับคนเมือง ด้วยคุณสมบัติที่ตอบโจทย์การเดินทางในยุคใหม่ ทำให้ E-Bike อาจไม่ใช่เป็นเพียงกระแส แต่เป็นทางรอดที่ยั่งยืนสำหรับหลายคน
จุดเด่นที่ทำให้ E-Bike เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
E-Bike มีข้อได้เปรียบหลายประการเมื่อเทียบกับยานพาหนะประเภทอื่น โดยเฉพาะในบริบทของนโยบายภาษีคาร์บอน:
- ต้นทุนการใช้งานต่ำมาก: ค่าใช้จ่ายหลักของ E-Bike คือค่าไฟฟ้าในการชาร์จแบตเตอรี่ ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าน้ำมันแล้วถือว่าประหยัดกว่าอย่างมหาศาล การเดินทางในระยะสั้นถึงระยะกลางภายในเมืองด้วย E-Bike จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายรายเดือนได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ไม่ต้องเสียภาษีคาร์บอนโดยตรง: เนื่องจาก E-Bike ไม่มีการปล่อยไอเสียจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงขณะใช้งาน จึงไม่เข้าข่ายการถูกจัดเก็บภาษีคาร์บอนโดยตรงเหมือนกับยานยนต์ที่ใช้น้ำมัน ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องแบกรับภาระภาษีในส่วนนี้
- ความคล่องตัวสูง: เหมาะสมกับสภาพการจราจรในเมืองใหญ่ สามารถเดินทางในเส้นทางที่รถยนต์เข้าไม่ถึงและหาที่จอดรถได้ง่ายกว่า ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทาง
- ตลาดกำลังขยายตัว: ความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มองหาความยืดหยุ่นในการเดินทาง ทำให้ตลาด E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีผลิตภัณฑ์หลากหลายรุ่นและราคาให้เลือกตามความต้องการ
ข้อจำกัดและความท้าทายของ E-Bike ในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนมาใช้ E-Bike อย่างแพร่หลายในประเทศไทยยังคงมีความท้าทายหลายด้านที่ต้องพิจารณา:
- ระยะทางในการใช้งาน: E-Bike ส่วนใหญ่ถูกออกแบบมาสำหรับการเดินทางในเมืองและมีระยะทางจำกัดต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง จึงไม่เหมาะกับการเดินทางไกลข้ามจังหวัด
- โครงสร้างพื้นฐานยังไม่รองรับ: ประเทศไทยยังขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการใช้จักรยานอย่างปลอดภัย เช่น เลนจักรยานที่ได้มาตรฐาน และสถานีชาร์จสาธารณะสำหรับยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กยังมีจำนวนน้อย
- ทัศนคติของผู้บริโภค: ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากยังคงให้ความสำคัญกับความสะดวกสบายและความปลอดภัยของรถยนต์ส่วนบุคคลมากกว่า อีกทั้งภาพลักษณ์ของจักรยานยังถูกมองว่าเป็นยานพาหนะสำหรับสันทนาการมากกว่าการใช้งานในชีวิตประจำวัน
- ขาดมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน: ปัจจุบันมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่รถยนต์ EV และ Hybrid เป็นหลัก ในขณะที่มาตรการสนับสนุนสำหรับ E-Bike โดยตรง เช่น เงินอุดหนุน หรือการลดหย่อนภาษี ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ
บทเรียนจากต่างประเทศและผลกระทบต่อการค้าไทย
หลายประเทศทั่วโลกได้นำภาษีคาร์บอนมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำมานานแล้ว ตัวอย่างเช่น ประเทศในแถบยุโรปอย่างสวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และนอร์เวย์ มีการจัดเก็บภาษีคาร์บอนในอัตราที่สูงมาก (บางประเทศสูงกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอน) ซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคและการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดอย่างรวดเร็ว บทเรียนจากประเทศเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าการกำหนดอัตราภาษีที่เหมาะสมและการมีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจนเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของมาตรการ
นอกจากผลกระทบภายในประเทศแล้ว นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมในระดับสากลยังมีผลต่อภาคการส่งออกของไทยอีกด้วย โดยเฉพาะมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2569 มาตรการนี้จะกำหนดให้ผู้นำเข้าสินค้าที่มีการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิตสูงต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้สินค้าจากประเทศไทยที่ยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิลมีต้นทุนสูงขึ้นและเสียเปรียบในการแข่งขัน ดังนั้น การที่ประเทศไทยเริ่มใช้มาตรการภาษีคาร์บอนภายในประเทศจึงเป็นการเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการปรับตัวและลดการปล่อยคาร์บอน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
บทสรุปและแนวทางการเตรียมความพร้อมสู่อนาคต
นโยบาย ภาษีคาร์บอน 2569 ถือเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ แม้ว่าในระยะสั้นอาจสร้างผลกระทบต่อต้นทุนการดำรงชีวิตและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แต่ในระยะยาว มาตรการนี้จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่การใช้พลังงานที่สะอาดยิ่งขึ้นและสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
ในภาวะที่ราคาน้ำมันมีแนวโน้มสูงขึ้นจากทั้งปัจจัยตลาดโลกและนโยบายภายในประเทศ ยานพาหนะทางเลือกอย่างจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าได้กลายเป็นทางรอดที่น่าสนใจอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แม้จะยังมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานและระยะทางการใช้งาน แต่สำหรับวิถีชีวิตคนเมือง E-Bike ถือเป็นคำตอบที่สมเหตุสมผลและคุ้มค่า
ดังนั้น ทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจจึงควรเริ่มเตรียมความพร้อมและปรับตัวตั้งแต่วันนี้ การวางแผนเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล และการลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในอนาคต แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับสังคมโดยรวม หากภาครัฐมีการออกมาตรการสนับสนุน E-Bike และยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็กอย่างจริงจัง ก็จะยิ่งเร่งให้การเปลี่ยนผ่านนี้เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกในการเดินทางที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคือคำตอบที่น่าสนใจในยุคนี้ GIANT Shopping Mall เป็นศูนย์รวมที่จำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์การเดินทางในเมือง สามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม หรือติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ FACEBOOK PAGE และ LINE
