วิเคราะห์นโยบาย EV 2026: E-Bike จะได้ลดราคาเพิ่มไหม?
มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของภาครัฐกำลังก้าวเข้าสู่เฟสใหม่ที่เรียกว่า EV 3.5 ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2569–2570 นโยบายดังกล่าวไม่เพียงแต่ส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าด้วย ทำให้เกิดคำถามสำคัญว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากส่วนลดเพิ่มเติมหรือไม่
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- นโยบาย EV 3.5 ครอบคลุม E-Bike: มาตรการใหม่ระบุชัดเจนว่ารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นหนึ่งในยานยนต์เป้าหมายที่จะได้รับการส่งเสริม เพื่อทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น
- เน้นการผลิตในประเทศ: หัวใจสำคัญของนโยบายคือการผลักดันให้ผู้ผลิตตั้งฐานการผลิตในไทย ซึ่งเป็นกลไกหลักในการควบคุมและลดต้นทุนในระยะยาว
- ยังไม่มีตัวเลขเงินอุดหนุนที่ชัดเจน: แม้จะมีการส่งเสริม แต่ข้อมูล ณ ปัจจุบันยังไม่ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับเงินอุดหนุนหรือส่วนลดโดยตรงสำหรับ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
- โครงสร้างภาษีเอื้อประโยชน์: การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่อิงตามการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และชิ้นส่วนในประเทศ จะเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยลดภาระทางภาษีให้กับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
- อนาคตขึ้นอยู่กับประกาศทางการ: รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ซื้อ E-Bike จำเป็นต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น BOI และกรมสรรพสามิต
การเดินหน้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำผลักดันให้ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง การ วิเคราะห์นโยบาย EV 2026: E-Bike จะได้ลดราคาเพิ่มไหม? จึงกลายเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจอย่างสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก นโยบาย EV 3.5 ซึ่งเป็นเฟสต่อเนื่องจากมาตรการเดิม มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าที่ยั่งยืนในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการลดการพึ่งพาการนำเข้าและกระตุ้นให้เกิดการลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศ ความเกี่ยวข้องของนโยบายนี้จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่รถยนต์ไฟฟ้าสี่ล้อ แต่ยังขยายผลมาถึงตลาดสองล้อไฟฟ้า ซึ่งเป็นทางเลือกการเดินทางที่สำคัญในเขตเมืองและมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็ว
บทความนี้จะทำการวิเคราะห์เจาะลึกถึงรายละเอียดของนโยบาย EV 3.5 ว่ามีกลไกใดบ้างที่จะส่งผลกระทบต่อราคาจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ตลอดจนประเมินโอกาสที่ผู้บริโภคจะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมจากมาตรการของรัฐบาล เพื่อให้ผู้ที่สนใจสามารถวางแผนการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีข้อมูลครบถ้วน
ภาพรวมนโยบาย EV 3.5 และเป้าหมายหลัก
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าเฟส 3.5 เป็นมาตรการต่อเนื่องที่รัฐบาลนำมาใช้เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค โดยต่อยอดความสำเร็จจากมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.1 ที่ได้สร้างความตื่นตัวและกระตุ้นยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าได้อย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่ผ่านมา นโยบายใหม่นี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม โดยเปลี่ยนจากการเน้นอุดหนุนการนำเข้า มาเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการผลิตและใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศเป็นหลัก
วัตถุประสงค์หลักของมาตรการสนับสนุน EV
เป้าหมายหลักของนโยบาย EV 3.5 สามารถสรุปได้เป็น 3 ประการสำคัญ ซึ่งล้วนส่งผลต่อระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ผลิตไปจนถึงผู้บริโภค:
- การลดราคาเพื่อให้แข่งขันได้: มาตรการยังคงใช้กลไกเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อทำให้ราคาจำหน่ายของยานยนต์ไฟฟ้าใกล้เคียงกับรถยนต์สันดาปมากขึ้น สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท อาจได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 100,000 บาทต่อคัน ควบคู่ไปกับการลดหย่อนภาษีนำเข้าและภาษีสรรพสามิต
- การบังคับให้เกิดการผลิตในประเทศ: นี่คือเงื่อนไขสำคัญที่สุดของนโยบายใหม่ ผู้ผลิตที่เข้าร่วมโครงการจะต้องมีแผนการตั้งโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้า, แพลตฟอร์ม, แบตเตอรี่ หรือชิ้นส่วนไฟฟ้าแรงสูงในประเทศไทย ซึ่งเงื่อนไขนี้ครอบคลุมทั้งรถยนต์ไฟฟ้า (BEV), รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่มีระยะวิ่งด้วยไฟฟ้าตามเกณฑ์ และที่สำคัญคือ รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า
- การลดการพึ่งพาการนำเข้า: เพื่อกระตุ้นให้เกิดการผลิตจริง นโยบายได้กำหนดเงื่อนไขที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะกับรถยนต์ไฟฟ้าระดับราคาสูง (2-7 ล้านบาท) ที่จะต้องผลิตเฉพาะรุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทยเท่านั้น เพื่อป้องกันการนำเข้ารถรุ่นอื่นมาสวมสิทธิ์
กรอบเวลาและกลุ่มเป้าหมายของนโยบาย
นโยบาย EV 3.5 มีกรอบระยะเวลาการดำเนินงานที่ชัดเจนคือระหว่างปี พ.ศ. 2569 ถึง 2570 กลุ่มเป้าหมายของนโยบายนี้กว้างกว่าเดิม โดยไม่ได้มุ่งเน้นเพียงผู้ซื้อรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ยังรวมถึงผู้ประกอบการและผู้บริโภคในตลาดรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง การกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนช่วยให้ผู้ผลิตสามารถวางแผนการลงทุนและสายการผลิตได้ล่วงหน้า ขณะที่ผู้บริโภคก็สามารถวางแผนการซื้อเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุดจากมาตรการได้เช่นกัน
นโยบาย EV 3.5 ส่งผลต่อ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าอย่างไร?
แม้ว่าภาพรวมของมาตรการจะเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นหลัก แต่การระบุ “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” ไว้อย่างชัดเจนในเอกสารนโยบาย ถือเป็นสัญญาณบวกที่สำคัญต่อตลาด E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทย การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลกระทบต่อราคาและโครงสร้างตลาดในระยะยาวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การครอบคลุมรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในนโยบาย
การที่นโยบาย EV 3.5 ได้รวมเอารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าไว้เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการ ถือเป็นการยอมรับถึงความสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กในระบบคมนาคมของประเทศ จุดประสงค์หลักคือการทำให้ ราคาจักรยานไฟฟ้า สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยมลพิษจากการเดินทางในชีวิตประจำวันและลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง การส่งเสริมนี้คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันในตลาด นำไปสู่การพัฒนารุ่นใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในราคาที่สมเหตุสมผล
การระบุถึง “รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า” อย่างชัดเจนในนโยบาย EV 3.5 คือการเปิดประตูสู่การสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้ผลิตและผู้บริโภคในตลาด E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
กลไกการลดราคา: การผลิตในประเทศและภาษี
กลไกหลักที่จะทำให้ราคาของ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าลดลง ไม่ได้มาจากเงินอุดหนุนโดยตรงเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากผลกระทบทางอ้อมของนโยบายที่เน้นการผลิตในประเทศเป็นสำคัญ ดังนี้:
- ลดต้นทุนจากการผลิตในประเทศ (Localization): เมื่อผู้ผลิตย้ายฐานการผลิตหรือตั้งโรงงานประกอบในไทย จะช่วยลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์และภาษีนำเข้าชิ้นส่วนบางรายการลงได้ นอกจากนี้ การผลิตในปริมาณมาก (Economy of Scale) ยังช่วยให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลงอีกด้วย
- สิทธิประโยชน์ทางภาษี: โครงสร้าง ภาษีรถไฟฟ้า ใหม่ที่จะเริ่มใช้ในปี 2569 เป็นต้นไป จะพิจารณาจากอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตในประเทศ (Local Content) เป็นหลัก ยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งไม่มีการปล่อย CO2 จากท่อไอเสีย ย่อมได้รับประโยชน์จากโครงสร้างภาษีนี้โดยตรง ซึ่งอาจส่งผลให้ภาษีสรรพสามิตสำหรับ E-Bike ที่ผลิตในประเทศลดลงเหลือในอัตราที่ต่ำมาก
- ลดการพึ่งพาการนำเข้า (CBU): ปัจจุบัน E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจำนวนมากในตลาดยังเป็นการนำเข้าทั้งคัน (Completely Built Up – CBU) ซึ่งมีต้นทุนภาษีนำเข้าสูง นโยบายนี้จะบีบให้ผู้ผลิตหันมาประกอบในประเทศ (Completely Knocked Down – CKD) มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดราคาจำหน่ายสุดท้ายให้กับผู้บริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ
เจาะลึกโครงสร้างภาษีและเงินอุดหนุน
เพื่อให้เข้าใจถึงผลกระทบของนโยบาย EV 3.5 อย่างถ่องแท้ จำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดของโครงสร้างภาษีและเงื่อนไขของเงินอุดหนุน ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลใช้ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม แม้ว่ารายละเอียดส่วนใหญ่จะเน้นไปที่รถยนต์ แต่ก็สามารถใช้เป็นแนวทางในการคาดการณ์ทิศทางของตลาด E-Bike ได้
อัตราภาษีสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ
โครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าภายใต้นโยบายนี้ถูกออกแบบมาเพื่อจูงใจให้ผู้ผลิตพัฒนายานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีการลงทุนในประเทศมากขึ้น โดยอัตราภาษีจะแตกต่างกันไปตามประเภทและคุณสมบัติของรถ
| ประเภทรถยนต์ไฟฟ้า | เงื่อนไขสำคัญ | อัตราภาษีสรรพสามิต |
|---|---|---|
| BEV (ไฟฟ้า 100%) | – | 2% |
| PHEV (ปลั๊กอินไฮบริด) | สามารถวิ่งด้วยไฟฟ้าได้อย่างน้อย 80 กิโลเมตร | 5% |
| PHEV (ปลั๊กอินไฮบริด) | เครื่องยนต์มีความจุเกิน 3.0 ลิตร | 30% |
| ปิกอัพ EV | เข้าเกณฑ์การผลิตและชิ้นส่วนในประเทศ | 2-3% |
จากตารางจะเห็นได้ว่า รถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) ได้รับอัตราภาษีที่ต่ำที่สุดเพียง 2% ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ชัดเจน สำหรับ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าซึ่งเป็นยานยนต์ไฟฟ้า 100% เช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับประโยชน์จากโครงสร้างภาษีในลักษณะเดียวกัน โดยอาจมีอัตราภาษีที่ต่ำมากหรืออาจได้รับการยกเว้น หากเป็นไปตามเงื่อนไขการผลิตในประเทศ
เงินอุดหนุนสำหรับผู้ซื้อ: มีโอกาสสำหรับ E-Bike หรือไม่?
ประเด็นเรื่องเงินอุดหนุนเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากที่สุด ในขณะที่นโยบาย EV 3.5 ระบุเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ BEV ไว้อย่างชัดเจน (สูงสุด 100,000 บาท) แต่สำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ข้อมูลในปัจจุบันยังไม่มีการระบุตัวเลขเงินอุดหนุนหรือเปอร์เซ็นต์ส่วนลดที่แน่นอน
อย่างไรก็ตาม การที่นโยบายระบุว่าจะ “ลดราคายานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทให้เข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น” เปิดโอกาสให้มีการออกมาตรการย่อยสำหรับ E-Bike ในอนาคตได้ ซึ่งอาจมาในรูปแบบของ:
- เงินอุดหนุนโดยตรง: อาจเป็นเงินอุดหนุนจำนวนหนึ่งต่อคัน (เช่น 5,000 – 10,000 บาท) สำหรับผู้ที่ ซื้อสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่ผลิตหรือประกอบในประเทศ
- มาตรการลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดา: อาจนำมาตรการในรูปแบบ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้ โดยให้สามารถนำค่าใช้จ่ายในการซื้อ E-Bike ไปลดหย่อนภาษีได้
- การสนับสนุนผ่านโครงการอื่นๆ: รัฐบาลอาจร่วมมือกับสถาบันการเงินเพื่อออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
ทั้งนี้ มาตรการเหล่านี้ยังเป็นเพียงการคาดการณ์จากทิศทางของนโยบาย การจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติและการประกาศจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
แนวโน้มตลาด EV ขนาดเล็กและปัจจัยท้าทาย
นโยบายของรัฐบาลเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในการขับเคลื่อนตลาด แต่การเติบโตอย่างยั่งยืนของตลาด E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอุปทาน อุปสงค์ และระบบนิเวศที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาและเผชิญกับความท้าทายบางประการ
การเติบโตของตลาด xEV ในประเทศไทย
ตลาด xEV (ยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมถึง BEV, HEV, PHEV) ในประเทศไทยมีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2569 ส่วนแบ่งการตลาดของ xEV อาจสูงเกินครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ทั้งหมด ปัจจัยหนุนสำคัญมาจากนโยบายของรัฐบาลที่ต่อเนื่อง รวมถึงความพร้อมของระบบนิเวศ เช่น จำนวนสถานีชาร์จที่เพิ่มขึ้น และบริการหลังการขายที่เริ่มครอบคลุมมากขึ้น
แม้ข้อมูลเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับยอดขาย E-Bike จะยังมีไม่มากนัก แต่การเติบโตของตลาดรถยนต์ BEV ซึ่งคาดว่าจะมียอดจดทะเบียนสูงถึง 125,000 คันต่อปี สะท้อนให้เห็นถึงการยอมรับเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของผู้บริโภคชาวไทย ซึ่งเป็นทัศนคติเชิงบวกที่จะส่งผลดีต่อตลาด E-Bike ในอนาคตเช่นกัน เมื่อผู้คนคุ้นเคยและมั่นใจในประสิทธิภาพของยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น การตัดสินใจเปลี่ยนจากรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปมาเป็น E-Bike ก็จะง่ายขึ้น
ข้อจำกัดของข้อมูลและสิ่งที่ต้องติดตาม
ความท้าทายที่สำคัญในปัจจุบันคือการขาดข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุน E-Bike โดยเฉพาะ ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เผยแพร่ออกมามักเน้นไปที่รถยนต์นั่งส่วนบุคคลเป็นหลัก ทำให้ผู้ที่สนใจซื้อ E-Bike ยังไม่สามารถวางแผนทางการเงินได้อย่างชัดเจน
ดังนั้น สิ่งที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการในตลาด E-Bike ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ:
- ประกาศอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI): ซึ่งจะระบุเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ผลิตที่ต้องการลงทุนตั้งโรงงานในไทย
- ประกาศจากกรมสรรพสามิต: เกี่ยวกับโครงสร้างและอัตราภาษีที่ชัดเจนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่เข้าเกณฑ์
- มติจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ: ซึ่งอาจมีมาตรการสนับสนุนเพิ่มเติมสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กออกมาในอนาคต
การติดตามข้อมูลจากแหล่งข่าวที่เป็นทางการเหล่านี้จะช่วยให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบันที่สุด เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำ
สรุปและแนวโน้มในอนาคตของตลาด E-Bike
โดยสรุป จากการ วิเคราะห์นโยบาย EV 2026: E-Bike จะได้ลดราคาเพิ่มไหม? พบว่ามีสัญญาณบวกที่ชัดเจน นโยบาย EV 3.5 ได้รวมเอารถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาในระยะยาวมีแนวโน้มลดลงอย่างแน่นอน กลไกหลักที่จะทำให้ราคาถูกลงมาจากแรงจูงใจให้เกิดการผลิตในประเทศ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและภาษีนำเข้าลดลง ประกอบกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ที่เอื้อประโยชน์ต่อยานยนต์ไร้มลพิษ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคำถามที่ว่าผู้บริโภคจะได้รับ “ส่วนลดเพิ่มเติม” ในรูปแบบของเงินอุดหนุนโดยตรงหรือไม่นั้น ข้อมูล ณ ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจนและจำเป็นต้องรอการประกาศอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป แต่ทิศทางโดยรวมชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะทำให้ยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมถึง E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า มีราคาที่ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ เพื่อบรรลุเป้าหมายการเป็นสังคมคาร์บอนต่ำและศูนย์กลางการผลิต EV ในภูมิภาค
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike คุณภาพสูง ที่ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเดินทางยุคใหม่ ด้วยสินค้าหลากหลายรุ่นและทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำ
สามารถเข้ามาชมสินค้าจริงและทดลองขับได้ที่ร้าน เปิดให้บริการทุกวันจันทร์ – เสาร์ เวลา 9.00 – 18.00 น.
ที่ตั้ง: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
โทรศัพท์: 061-962-2878
ติดตามข่าวสาร โปรโมชั่น และพูดคุยกับเราได้ทาง:
FACEBOOK PAGE | LINE
หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์ของเรา
