รัฐจะช่วยซื้อ E-Bike? ส่องนโยบาย EV เฟสใหม่ในไทย
นโยบายส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนทิศทางอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาตรการสนับสนุนระยะที่ 2 หรือ EV3.5 ซึ่งครอบคลุมยานพาหนะหลากหลายประเภทรวมถึงจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจ
- รัฐบาลไทยได้อนุมัติมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV3.5) ซึ่งมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 ถึง 2570
- มาตรการดังกล่าวให้เงินอุดหนุนสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) ที่ผลิตในประเทศเป็นจำนวน 10,000 บาทต่อคัน ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
- นอกจาก E-Bike แล้ว ยังมีเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า โดยมีวงเงินสูงสุดถึง 150,000 บาทต่อคัน ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่และราคาจำหน่าย
- นโยบายนี้มีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และส่งเสริมสังคมคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
- ผู้ผลิตและผู้ซื้อต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขด้านมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) และการทดสอบแบตเตอรี่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัย
ส่วนนำ: คำถามที่ว่า รัฐจะช่วยซื้อ E-Bike? ส่องนโยบาย EV เฟสใหม่ในไทย สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของสาธารณชนต่อทิศทางการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของภาครัฐ ซึ่งคำตอบนั้นชัดเจนขึ้นผ่านมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “EV3.5” มาตรการนี้ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงแค่รถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังขยายขอบเขตการสนับสนุนมาถึงรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือ E-Bike อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมให้การเดินทางด้วยพลังงานสะอาดเข้าถึงง่ายและเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนไทยในวงกว้างมากขึ้น
นโยบาย EV3.5 เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากมาตรการระยะแรก โดยมีการปรับปรุงเงื่อนไขและวงเงินอุดหนุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดและเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของประเทศในการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของโลก การดำเนินนโยบายอย่างต่อเนื่องนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค แต่ยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่การผลิตชิ้นส่วนไปจนถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น สถานีชาร์จ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมของประเทศในระยะยาว
ภาพรวมมาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า EV3.5
มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV3.5) คือชุดนโยบายที่รัฐบาลไทยประกาศใช้เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านจากยานยนต์สันดาปภายในไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง โดยมีกรอบระยะเวลาดำเนินงาน 4 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2570 มาตรการนี้ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้บริโภคที่ต้องการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า ไปจนถึงผู้ผลิตและนักลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ
วัตถุประสงค์หลักของมาตรการ EV3.5 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การเพิ่มจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าบนท้องถนน แต่ยังมุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศของยานยนต์ไฟฟ้าที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมการผลิตในประเทศ การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และการขยายเครือข่ายสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดอุปสรรคและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน ทั้งหมดนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญของคนเมือง
เจาะลึกเงินอุดหนุนสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าแต่ละประเภท
หัวใจสำคัญของมาตรการ EV3.5 คือการให้สิทธิประโยชน์ในรูปแบบของเงินอุดหนุนและการลดหย่อนภาษี ซึ่งแตกต่างกันไปตามประเภทและคุณสมบัติของยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้การสนับสนุนเป็นไปอย่างเหมาะสมและตรงเป้าหมาย โดยสามารถแบ่งประเภทของยานยนต์ที่ได้รับการสนับสนุนออกเป็นกลุ่มหลักๆ ได้ดังนี้
จักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike): โอกาสใหม่ของผู้ใช้สองล้อ
สำหรับกลุ่มรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า หรือที่นิยมเรียกว่า E-Bike ซึ่งเป็นยานพาหนะที่มีความคล่องตัวสูงและเหมาะกับการใช้งานในเมือง รัฐบาลได้ให้การสนับสนุนอย่างชัดเจนภายใต้มาตรการ EV3.5 โดยมีเงื่อนไขและรายละเอียดดังนี้:
- เงินอุดหนุน: รัฐให้เงินอุดหนุนเป็นจำนวน 10,000 บาทต่อคัน
- เงื่อนไขด้านราคา: รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าคันดังกล่าวต้องมีราคาจำหน่ายไม่เกิน 150,000 บาท
- เงื่อนไขด้านแบตเตอรี่: ต้องมีขนาดแบตเตอรี่ตั้งแต่ 3 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจได้ถึงระยะทางการวิ่งที่เหมาะสมต่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน
- เงื่อนไขด้านการผลิต: ต้องเป็นรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตขึ้นภายในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตและสร้างงานในประเทศ
การสนับสนุนในกลุ่มนี้มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาป ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่สำคัญในเขตเมือง หันมาพิจารณาใช้ E-Bike เป็นทางเลือกมากขึ้น ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและค่าบำรุงรักษาในระยะยาวให้กับผู้ใช้งานอีกด้วย
รถยนต์นั่งและรถกระบะไฟฟ้า
ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล (Battery Electric Vehicle: BEV) และรถกระบะไฟฟ้า มาตรการ EV3.5 ได้กำหนดวงเงินอุดหนุนที่สูงขึ้นตามขนาดของแบตเตอรี่และราคาของตัวรถ เพื่อจูงใจให้ค่ายรถยนต์นำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ เข้ามาทำตลาดในประเทศมากขึ้น และทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่จับต้องได้ง่ายขึ้น
มาตรการ EV3.5 ให้เงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าสูงสุดถึง 150,000 บาทต่อคัน เพื่อเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้าและผลักดันเป้าหมายการผลิตในประเทศ
| ประเภทของยานยนต์ไฟฟ้า | เงื่อนไขหลัก | วงเงินอุดหนุน (บาทต่อคัน) |
|---|---|---|
| รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า (E-Bike) | ราคาไม่เกิน 150,000 บาท, แบตเตอรี่ ≥ 3 kWh, ผลิตในประเทศ | 10,000 |
| รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท, แบตเตอรี่ < 30 kWh | 70,000 |
| รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท, แบตเตอรี่ ≥ 30 kWh | 150,000 |
| รถกระบะไฟฟ้า | ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท (ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่) | 70,000 – 150,000 |
เงื่อนไขและข้อกำหนดสำคัญที่ควรรู้
เพื่อให้มาตรการสนับสนุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ภาครัฐได้กำหนดเงื่อนไขและข้อบังคับที่ชัดเจน ทั้งในฝั่งของผู้ผลิตและผู้ซื้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจก่อนตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ
มาตรฐานแบตเตอรี่และการทดสอบที่เข้มงวด
ความปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงกำหนดให้แบตเตอรี่ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าทุกคันที่เข้าร่วมโครงการ ไม่ว่าจะนำเข้าหรือผลิตในประเทศ จะต้องผ่านการรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) นอกจากนี้ แบตเตอรี่ยังต้องผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากลจากศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย เพื่อสร้างความมั่นใจว่าแบตเตอรี่ทุกลูกมีคุณภาพ ปลอดภัย และมีประสิทธิภาพตามที่ระบุไว้
ข้อผูกพันสำหรับผู้ผลิตและผู้นำเข้า
ค่ายรถยนต์หรือผู้ผลิตที่ต้องการให้ผลิตภัณฑ์ของตนได้รับสิทธิ์ตามมาตรการ EV3.5 จะต้องลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับกรมสรรพสามิต ซึ่งมีเงื่อนไขผูกพันให้ผู้ผลิตต้องมีการลงทุนและตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคตตามอัตราส่วนที่กำหนด เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับการได้รับสิทธิประโยชน์ในการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ามาจำหน่ายในช่วงแรก ข้อตกลงนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ครบวงจรในประเทศอย่างแท้จริง
เป้าหมายและผลลัพธ์ที่คาดหวังจากนโยบาย
นโยบาย EV3.5 ไม่ใช่เพียงมาตรการระยะสั้น แต่เป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจน ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
วิสัยทัศน์ 30@30: สู่การเป็นศูนย์กลาง EV แห่งภูมิภาค
เป้าหมายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังมาตรการ EV ทั้งหมดคือ นโยบาย “30@30” ซึ่งตั้งเป้าให้ประเทศไทยมีการผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 หรือ ค.ศ. 2030 เพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ รัฐบาลได้คาดการณ์ตัวเลขการผลิตสะสมภายในปี 2573 ไว้ที่ประมาณ 725,000 คันสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และประมาณ 675,000 คันสำหรับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายระยะสั้นให้มียานยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศให้ครบ 1 ล้านคันภายในปี พ.ศ. 2568 ซึ่งตัวเลขเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการผลักดันอุตสาหกรรมนี้อย่างจริงจัง
ประโยชน์ของการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า
การเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าให้ประโยชน์ในหลายมิติ ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่ยังส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
มิติด้านเศรษฐกิจสำหรับผู้บริโภค
ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดสำหรับผู้ใช้งานคือการลดต้นทุนด้านพลังงาน ค่าไฟฟ้าในการชาร์จ E-Bike หรือรถยนต์ไฟฟ้ามีราคาถูกกว่าค่าน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบในระยะทางที่เท่ากัน นอกจากนี้ ยานยนต์ไฟฟ้ายังมีชิ้นส่วนเคลื่อนไหวน้อยกว่าเครื่องยนต์สันดาป ทำให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำกว่ามาก ไม่ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือหัวเทียน ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างมาก
มิติด้านสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิต
ยานยนต์ไฟฟ้าไม่มีการปล่อยไอเสียจากท่อไอเสียโดยตรง จึงช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมลพิษทางอากาศอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อนและปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะในพื้นที่เมืองที่มีการจราจรหนาแน่น การเพิ่มขึ้นของจำนวนยานยนต์ไฟฟ้าจะช่วยให้อากาศสะอาดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ การทำงานที่เงียบของมอเตอร์ไฟฟ้ายังช่วยลดปัญหามลพิษทางเสียง ทำให้สภาพแวดล้อมในเมืองน่าอยู่และสงบสุขมากขึ้น
บทสรุปและแนวโน้มอนาคต
มาตรการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV3.5) ถือเป็นนโยบายเชิงรุกที่แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องและความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ การให้เงินอุดหนุนที่ครอบคลุมทั้งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ และรถกระบะไฟฟ้า พร้อมกับเงื่อนไขที่ส่งเสริมการผลิตในประเทศและยกระดับมาตรฐานความปลอดภัย เป็นการวางรากฐานที่สำคัญสำหรับอนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย นโยบายนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของยานยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายขึ้น แต่ยังเป็นแม่เหล็กดึงดูดการลงทุน สร้างงาน และผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญของภูมิภาคตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมือง ช่วยลดค่าใช้จ่าย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนจากภาครัฐถือเป็นโอกาสที่ดีในการตัดสินใจ การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมีความเชี่ยวชาญจึงเป็นสิ่งสำคัญ GIANT Shopping Mall เป็นศูนย์รวมจำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมทีมงานที่ให้คำปรึกษาอย่างมืออาชีพ
สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือสอบถามผ่านทาง LINE และสามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการได้โดยตรง
