มาตรการรัฐ EV 2569: ราคาจักรยานไฟฟ้าจะถูกลงอีกไหม?
ทิศทางของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้รับแรงขับเคลื่อนสำคัญจากนโยบายภาครัฐ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- มาตรการ EV 3.5 ของรัฐบาลที่บังคับใช้ถึงปี 2570 ยังคงมอบเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้ราคาจักรยานยนต์ไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้าเข้าถึงง่ายขึ้น
- แนวโน้มราคาในปี 2569 ขึ้นอยู่กับความต่อเนื่องของนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐหลังสิ้นสุดมาตรการปัจจุบัน ควบคู่ไปกับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลกและต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่
- การแข่งขันด้านราคาจากผู้ผลิตค่ายจีนเป็นแรงกดดันสำคัญที่อาจทำให้ราคาปรับตัวลดลง แต่ในขณะเดียวกัน ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นอาจจำกัดการลดราคาของผู้ผลิต
- ผู้บริโภคที่สนใจซื้อจักรยานไฟฟ้าควรติดตามประกาศนโยบายจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทิศทางของเงินอุดหนุนจะเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดในการกำหนดราคาสุทธิ
มาตรการรัฐ EV 2569: ราคาจักรยานไฟฟ้าจะถูกลงอีกไหม? เป็นคำถามสำคัญสำหรับผู้บริโภคจำนวนมากที่กำลังพิจารณาเปลี่ยนมาใช้ยานพาหนะพลังงานสะอาด นโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาล หรือที่รู้จักกันในชื่อมาตรการ EV 3.5 ถือเป็นกลไกหลักที่ส่งผลต่อโครงสร้างราคาในตลาดปัจจุบัน โดยมาตรการนี้ครอบคลุมระยะเวลาตั้งแต่ปี 2567 ถึง 2570 การทำความเข้าใจในรายละเอียดของมาตรการปัจจุบันและปัจจัยแวดล้อมต่างๆ จะช่วยให้สามารถคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต และเตรียมความพร้อมในการตัดสินใจซื้อได้อย่างเหมาะสมที่สุด
นโยบายของรัฐไม่เพียงแต่ส่งผลต่อราคารถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อ เช่น จักรยานยนต์ไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และจักรยานไฟฟ้า (e-bike) ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในเขตเมือง ความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางของมาตรการอุดหนุนในปี 2569 จึงเป็นสิ่งที่ตลาดและผู้บริโภคต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเงินอุดหนุนและสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้ผลิตสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ในราคาที่แข่งขันได้และจูงใจผู้ซื้อ
ภาพรวมมาตรการสนับสนุน EV ปัจจุบัน (EV 3.5)
มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 เป็นนโยบายต่อเนื่องที่คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ประกาศใช้เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่สำคัญในภูมิภาค พร้อมทั้งกระตุ้นการใช้งานในประเทศให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้น มาตรการนี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 4 ปี (พ.ศ. 2567–2570) โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการสร้างระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้า (EV Ecosystem) ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน
เป้าหมายและกรอบเวลานโยบาย
เป้าหมายหลักของนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ คือการผลักดันให้มีการผลิตรถยนต์ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ (Zero Emission Vehicle: ZEV) ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี พ.ศ. 2573 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เป้าหมาย 30@30” มาตรการ EV 3.5 จึงถูกออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทั้งในฝั่งผู้ผลิตและผู้บริโภค เพื่อสร้างแรงจูงใจและเร่งการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยียานยนต์ในประเทศ
สิทธิประโยชน์สำหรับผู้ซื้อยานยนต์ไฟฟ้า
ภายใต้มาตรการ EV 3.5 รัฐบาลได้จัดสรรเงินอุดหนุนและให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดภาระของผู้ซื้อ ทำให้ราคายานยนต์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ สามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น โดยมีรายละเอียดสิทธิประโยชน์ที่สำคัญ ดังนี้
| ประเภทรถ | ราคาสูงสุด (บาท) | ความจุแบตเตอรี่ขั้นต่ำ | เงินอุดหนุนสูงสุด (บาท/คัน) |
|---|---|---|---|
| รถยนต์นั่งไฟฟ้า (BEV) | 2,000,000 | 50 kWh | 100,000 |
| รถกระบะไฟฟ้า | 2,000,000 | 50 kWh | 100,000 |
| จักรยานยนต์ไฟฟ้า | 150,000 | 3 kWh | 10,000 |
หมายเหตุ: สำหรับรถยนต์นั่งไฟฟ้าที่มีขนาดแบตเตอรี่ต่ำกว่า 50 kWh จะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุด 50,000 บาทต่อคัน
นอกจากเงินอุดหนุนโดยตรงแล้ว มาตรการยังรวมถึงการลดหย่อนภาษีที่สำคัญ ได้แก่ การลดอัตราอากรนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าสำเร็จรูป (CBU) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท สูงสุดถึง 40% ในช่วงปี 2567–2568 และการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเหลือเพียง 2% สำหรับรถที่มีราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท ซึ่งมาตรการทางภาษีเหล่านี้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการกดดันให้ราคาจำหน่ายปลีกของยานยนต์ไฟฟ้าในภาพรวมลดต่ำลง
ปัจจัยชี้วัดแนวโน้มราคาจักรยานไฟฟ้าในปี 2569
การคาดการณ์ว่าราคาจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าจะถูกลงอีกหรือไม่ในปี 2569 ต้องพิจารณาจากปัจจัยหลายมิติ ทั้งจากนโยบายภายในประเทศและพลวัตของตลาดโลก ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุนและกลยุทธ์การตั้งราคาของผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย
ความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐ
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือทิศทางของนโยบายภาครัฐ เนื่องจากมาตรการ EV 3.5 จะสิ้นสุดลงในปี 2570 ปัจจุบันยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าจะมีการขยายระยะเวลาของมาตรการเดิม หรือจะมีการออกมาตรการใหม่ (เช่น EV 4.0) หรือไม่
หากรัฐบาลประกาศต่ออายุมาตรการสนับสนุนหรือออกมาตรการใหม่ที่ให้สิทธิประโยชน์ใกล้เคียงเดิม ก็มีแนวโน้มสูงที่ราคาจักรยานไฟฟ้าจะยังคงอยู่ในระดับที่เข้าถึงง่าย หรืออาจปรับตัวลดลงได้อีกจากการแข่งขันในตลาด แต่ในทางกลับกัน หากมีการปรับลดเงินอุดหนุนหรือยกเลิกมาตรการสนับสนุน ราคาขายปลีกก็มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามต้นทุนที่แท้จริง
การแข่งขันในตลาดและสงครามราคา
ในช่วงปีที่ผ่านมา ตลาด EV ทั่วโลกเผชิญกับ “สงครามราคา” โดยมีผู้ผลิตจากประเทศจีนเป็นผู้เล่นหลักในการทำตลาดเชิงรุกด้วยการตั้งราคาที่แข่งขันได้สูง การเร่งส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนจากจีนส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าปรากฏการณ์นี้จะเด่นชัดในกลุ่มรถยนต์นั่งส่วนบุคคล แต่ก็ส่งผลทางอ้อมมายังตลาดยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อเช่นกัน ทำให้ผู้ผลิตรายอื่นต้องปรับกลยุทธ์ราคาเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลดราคาเริ่มชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากผู้ผลิตต้องเผชิญกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นและจำเป็นต้องรักษาระดับกำไรไว้ หากการแข่งขันยังคงรุนแรงต่อไปในปี 2569 ก็อาจเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ราคาจักรยานไฟฟ้าถูกลง
ต้นทุนการผลิตและเทคโนโลยีแบตเตอรี่
ต้นทุนของแบตเตอรี่ถือเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของต้นทุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในขณะที่ต้นทุนการผลิตลดลง จะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ราคายานยนต์ไฟฟ้าถูกลงในระยะยาว นอกจากนี้ การขยายกำลังการผลิตชิ้นส่วนสำคัญในประเทศไทยจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ราคาวัตถุดิบหลักในการผลิตแบตเตอรี่ เช่น ลิเธียมและโคบอลต์ มีความผันผวนสูง หากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและจำกัดความสามารถในการลดราคาของผู้ผลิตได้
โครงสร้างภาษีและอากรนำเข้า
สิทธิประโยชน์ด้านภาษีเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่รัฐใช้เพื่อควบคุมราคาขายปลีก การคงอัตราภาษีสรรพสามิตในระดับต่ำและการลดหย่อนอากรนำเข้าชิ้นส่วนและยานยนต์สำเร็จรูป ช่วยให้ผู้ผลิตและผู้นำเข้าสามารถทำราคาได้ดีขึ้น หากรัฐบาลยังคงนโยบายด้านภาษีเหล่านี้ไว้ในปี 2569 ก็จะช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาหรือเอื้อให้มีการปรับลดราคาลงได้ แต่หากมีการปรับโครงสร้างภาษีใหม่ เช่น การขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตหลังจากสิ้นสุดมาตรการ ก็จะส่งผลให้ราคาจำหน่ายปรับตัวสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บทวิเคราะห์: ราคาจักรยานไฟฟ้าจะถูกลงอีกหรือไม่ในปี 2569?
จากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ที่เป็นไปได้สำหรับทิศทางราคาจักรยานไฟฟ้าในปี 2569 ออกเป็นสองแนวทางหลัก คือแนวโน้มที่ราคาจะปรับตัวลดลง และแนวโน้มที่ราคาจะทรงตัวหรือปรับตัวสูงขึ้น
สถานการณ์ที่อาจทำให้ราคาปรับตัวลดลง
- การขยายมาตรการอุดหนุนของรัฐบาล: หากรัฐบาลประกาศนโยบายสนับสนุน EV เฟสต่อไป โดยยังคงเงินอุดหนุนสำหรับจักรยานยนต์ไฟฟ้าและจักรยานไฟฟ้าไว้ จะเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่สุด
- การแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่อง: หากผู้ผลิตรายใหญ่ โดยเฉพาะจากประเทศจีน ยังคงดำเนินกลยุทธ์ด้านราคาเพื่อขยายส่วนแบ่งการตลาดต่อไป จะเป็นแรงกดดันให้ราคาสินค้าในภาพรวมถูกลง
- ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี: การพัฒนาแบตเตอรี่รุ่นใหม่ที่มีต้นทุนต่ำลงแต่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถลดราคาขายปลีกได้โดยไม่กระทบต่อกำไร
- การผลิตในประเทศเพิ่มขึ้น: การมีฐานการผลิตชิ้นส่วนสำคัญในประเทศ (Localization) มากขึ้น จะช่วยลดต้นทุนจากการนำเข้าและค่าขนส่ง
สถานการณ์ที่อาจทำให้ราคาทรงตัวหรือสูงขึ้น
- การสิ้นสุดหรือลดขนาดมาตรการอุดหนุน: หากรัฐบาลตัดสินใจยุติหรือลดจำนวนเงินอุดหนุนหลังปี 2570 จะทำให้เกิดความไม่แน่นอนและอาจส่งผลให้ผู้ผลิตปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
- ต้นทุนวัตถุดิบพุ่งสูง: หากราคาวัตถุดิบสำคัญในตลาดโลก เช่น ลิเธียม, นิกเกิล, โคบอลต์ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนแบตเตอรี่และราคายานยนต์ไฟฟ้า
- อุปทานทั่วโลกได้รับผลกระทบ: หากประเทศผู้ผลิตหลักอย่างจีนออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิ้นส่วนหรือยานยนต์ไฟฟ้า อาจส่งผลกระทบต่อปริมาณสินค้าในตลาดและทำให้ราคาสูงขึ้น
- การปรับขึ้นอัตราภาษี: หากมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตหรืออากรนำเข้าหลังจากสิ้นสุดมาตรการ EV 3.5 ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น
บทสรุปและข้อแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจซื้อจักรยานไฟฟ้า
โดยสรุปแล้ว แนวโน้มราคาจักรยานไฟฟ้าในปี 2569 ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงและขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด แม้ว่าในช่วงปี 2567-2568 ผู้บริโภคจะยังคงได้รับประโยชน์จากมาตรการ EV 3.5 อย่างเต็มที่ แต่ทิศทางหลังจากนั้นยังคงต้องรอความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาลเป็นสำคัญ การแข่งขันในตลาดและนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเป็นปัจจัยบวกที่อาจช่วยให้ราคาถูกลงได้อีก แต่ก็มีความเสี่ยงจากต้นทุนวัตถุดิบและนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่อาจส่งผลในทางตรงกันข้าม
สำหรับผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อประเภทอื่นๆ ควรติดตามข่าวสารประกาศจากภาครัฐเกี่ยวกับการต่ออายุหรือการออกมาตรการสนับสนุน EV ใหม่ๆ อย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ควรประเมินความคุ้มค่าในการใช้งานจริง โดยพิจารณาค่าใช้จ่ายโดยรวมตลอดอายุการใช้งาน (Total Cost of Ownership) เช่น ค่าไฟฟ้า ค่าบำรุงรักษา และอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ควบคู่ไปกับราคาซื้อเริ่มต้น และควรตระหนักว่าเทคโนโลยี EV พัฒนาอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลให้มูลค่าของรถมือสองลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อมีรุ่นใหม่ๆ ออกสู่ตลาด
สำหรับผู้ที่ต้องการสำรวจและเป็นเจ้าของยานพาหนะไฟฟ้าในปัจจุบัน GIANT Shopping Mall เป็นศูนย์รวมที่จำหน่ายจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-bike คุณภาพสูง ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการในการเดินทางยุคใหม่ สามารถเยี่ยมชมสินค้าและรับคำปรึกษาได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือช่องทาง LINE และ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์โดยตรง
