รัฐหนุน EV! E-Bike จะได้ลดราคาเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าไหม?
ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนตลาด โดยเฉพาะมาตรการลดหย่อนภาษีและเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าที่ทำให้ราคาเข้าถึงง่ายขึ้น สิ่งนี้ก่อให้เกิดคำถามสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจยานพาหนะไฟฟ้าสองล้อว่า รัฐหนุน EV! E-Bike จะได้ลดราคาเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าไหม? บทความนี้จะวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตของนโยบายภาครัฐที่มีต่อจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า
- ปัจจุบัน มาตรการสนับสนุนหลักของภาครัฐมุ่งเน้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้าเป็นสำคัญ ผ่านโครงการ EV 3.0 และ EV 3.5 ที่กำลังจะเริ่มใช้
- จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไม่ถูกรวมอยู่ในมาตรการให้เงินอุดหนุนหรือลดหย่อนภาษีในลักษณะเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า
- นโยบาย EV 3.5 ที่จะเริ่มในปี 2569 จะลดวงเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าลง ซึ่งอาจส่งผลให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น
- ราคาของ E-Bike ในปัจจุบันถูกกำหนดโดยต้นทุนการผลิต ภาษีนำเข้า และการแข่งขันในตลาด มากกว่าจะมาจากนโยบายอุดหนุนโดยตรง
- ผู้ที่สนใจควรติดตามประกาศจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนโยบายอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยได้รับแรงขับเคลื่อนอย่างมีนัยสำคัญจากนโยบายของภาครัฐ ทำให้เกิดคำถามว่า รัฐหนุน EV! E-Bike จะได้ลดราคาเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าไหม? คำถามนี้สะท้อนความสนใจที่เพิ่มขึ้นต่อยานพาหนะไฟฟ้าขนาดเล็ก ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการเดินทางในเมือง แต่กลับยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนที่เทียบเท่ากับรถยนต์ไฟฟ้า การทำความเข้าใจกรอบนโยบายปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้บริโภคที่กำลังพิจารณาเลือกซื้อยานพาหนะไฟฟ้าสองล้อ เพื่อให้สามารถวางแผนการตัดสินใจได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
ความสำคัญของประเด็นนี้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงรอยต่อของการสิ้นสุดมาตรการ EV 3.0 ในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 และการเริ่มต้นของมาตรการ EV 3.5 ในปี 2569 ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและวงเงินอุดหนุนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าอย่างชัดเจน การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า และในขณะเดียวกันก็สร้างความคาดหวังว่าภาครัฐจะหันมาให้ความสำคัญกับยานพาหนะไฟฟ้าประเภทอื่น ๆ มากขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ใช้งานจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคขนาดใหญ่ที่มองหายานพาหนะที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำ การวิเคราะห์สถานการณ์จึงต้องพิจารณาถึงเป้าหมายเชิงนโยบายของรัฐบาล ทั้งในด้านการส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ การลดมลพิษ และการสร้างทางเลือกในการเดินทางที่ยั่งยืนให้กับประชาชน
ภาพรวมมาตรการสนับสนุน EV ของภาครัฐ
นโยบาย EV ภาครัฐเป็นกลไกหลักที่กำหนดทิศทางของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้งานและการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ลดการพึ่งพาน้ำมันเชื้อเพลิง และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยมาตรการที่โดดเด่นและเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางคือโครงการ EV 3.0 และโครงการต่อเนื่องอย่าง EV 3.5
ทำความเข้าใจมาตรการ EV 3.0: จุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง
มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV 3.0 ซึ่งมีผลบังคับใช้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด สาระสำคัญของมาตรการนี้คือการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า ควบคู่ไปกับการลดหย่อนภาษีสรรพสามิตและภาษีนำเข้า ทำให้ราคาวางจำหน่ายของรถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นลดลงอย่างมากจนสามารถแข่งขันกับรถยนต์สันดาปภายในได้
ภายใต้มาตรการ EV 3.0 รถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจะได้รับเงินอุดหนุนสูงสุดถึง 150,000 บาทต่อคัน ขึ้นอยู่กับขนาดของแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังมีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตจาก 8% เหลือเพียง 2% และลดอากรขาเข้าสำหรับรถยนต์ที่นำเข้าทั้งคัน (CBU) ที่มีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท สูงสุดถึง 40% เงื่อนไขเหล่านี้ได้ดึงดูดค่ายรถยนต์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะแบรนด์จากประเทศจีน ให้เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจัง และกระตุ้นให้ผู้บริโภคหันมาสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มาตรการ EV 3.0 ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับตลาดรถยนต์ไทย โดยเปลี่ยนการรับรู้ของผู้บริโภคที่มีต่อรถยนต์ไฟฟ้า จากสินค้าฟุ่มเฟือยให้กลายเป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้และมีความคุ้มค่า
ก้าวสู่ยุคใหม่กับมาตรการ EV 3.5: นโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป
เพื่อรักษาความต่อเนื่องและผลักดันให้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ได้อนุมัติมาตรการ EV 3.5 ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 ไปจนถึงปี 2570 อย่างไรก็ตาม มาตรการใหม่นี้มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขหลายประการที่ส่งผลต่อราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง
ประเด็นสำคัญคือการปรับลดวงเงินอุดหนุนลง โดยรถยนต์ไฟฟ้าที่ผลิตในประเทศจะได้รับเงินอุดหนุนเหลือเพียง 50,000 บาทต่อคัน และมีการยกเลิกสิทธิ์สำหรับรถยนต์นำเข้า นอกจากนี้ยังมีการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตในบางกรณี การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงเจตนาของภาครัฐที่ต้องการเปลี่ยนจากการ “กระตุ้นการซื้อ” มาเป็นการ “ส่งเสริมการผลิตในประเทศ” อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งหมายความว่าผู้ผลิตจะต้องตั้งฐานการผลิตในไทยเพื่อรับสิทธิประโยชน์ และอาจทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าหลังสิ้นสุดมาตรการ EV 3.0 ปรับตัวสูงขึ้น
| หัวข้อเปรียบเทียบ | มาตรการ EV 3.0 (ถึง 31 ธ.ค. 2568) | มาตรการ EV 3.5 (เริ่ม 1 ม.ค. 2569) | จักรยานไฟฟ้า (E-Bike) / สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า |
|---|---|---|---|
| กลุ่มเป้าหมายหลัก | รถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า | รถยนต์ไฟฟ้าและรถกระบะไฟฟ้า | ไม่มีการระบุเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก |
| เงินอุดหนุน (รถผลิตในประเทศ) | สูงสุด 150,000 บาท | สูงสุด 50,000 บาท | ไม่มีเงินอุดหนุน |
| สิทธิประโยชน์ด้านภาษี | ลดภาษีสรรพสามิตและอากรขาเข้า | มีการปรับเงื่อนไขภาษี (อาจสูงขึ้น) | เสียภาษีตามปกติ (ภาษีนำเข้า, VAT) |
| ผลกระทบต่อราคา | ราคาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ | ราคาอาจปรับตัวสูงขึ้น | ราคาขึ้นอยู่กับกลไกตลาดปกติ |
สถานะของจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ในนโยบายปัจจุบัน
ในขณะที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐ สถานการณ์ของยานพาหนะไฟฟ้าสองล้ออย่างจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ากลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง จนถึงปัจจุบัน ยังไม่มีการประกาศมาตรการอุดหนุนหรือลดหย่อนภาษีสำหรับยานพาหนะกลุ่มนี้ในรูปแบบเดียวกับรถยนต์ไฟฟ้า
เหตุใด E-Bike จึงยังไม่ได้รับเงินอุดหนุน?
การที่ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังไม่ถูกรวมอยู่ในนโยบายสนับสนุนหลัก สามารถวิเคราะห์ได้จากหลายปัจจัย เป้าหมายหลักของมาตรการ EV 3.0 และ 3.5 คือการสร้างฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในวงกว้าง การส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าจึงสอดคล้องกับยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศมากกว่า
นอกจากนี้ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเปลี่ยนรถยนต์สันดาปมาเป็นรถยนต์ไฟฟ้าหนึ่งคัน ให้ผลกระทบในภาพรวมที่สูงกว่าการเปลี่ยนจากจักรยานยนต์ธรรมดามาเป็นจักรยานไฟฟ้า ด้วยเหตุนี้ ภาครัฐจึงอาจจัดลำดับความสำคัญในการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าก่อน อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่า E-Bike จะถูกมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง แต่อาจต้องรอให้การเปลี่ยนผ่านในตลาดรถยนต์มีความมั่นคงก่อนที่นโยบายจะขยายครอบคลุมมาถึงยานพาหนะประเภทอื่น
ปัจจัยที่กำหนดราคาสกู๊ตเตอร์และจักรยานไฟฟ้าในปัจจุบัน
เมื่อไม่มีเงินอุดหนุนจากภาครัฐ ราคาของ E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าในประเทศไทยจึงถูกกำหนดโดยกลไกตลาดปกติ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลักดังนี้:
- ต้นทุนการผลิตและเทคโนโลยี: คุณภาพของมอเตอร์ แบตเตอรี่ ระบบควบคุม และวัสดุที่ใช้ในการผลิตเป็นตัวกำหนดราคาพื้นฐาน ยิ่งเทคโนโลยีสูงขึ้น เช่น แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีความจุสูงและน้ำหนักเบา ราคาก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
- ภาษีนำเข้า: สินค้าส่วนใหญ่ในตลาดยังคงเป็นการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน ทำให้ต้องแบกรับภาระภาษีอากรขาเข้า ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อราคาขายปลีก
- การแข่งขันในตลาด: การมีผู้เล่นหลายรายในตลาดช่วยให้เกิดการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพ ผู้บริโภคจึงมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่รุ่นพื้นฐานราคาประหยัดไปจนถึงรุ่นประสิทธิภาพสูง
- ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน: ค่าการตลาด การรับประกันสินค้า และบริการหลังการขาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่ผู้จัดจำหน่ายต้องรวมไว้ในราคาผลิตภัณฑ์
ดังนั้น ผู้ที่กำลังพิจารณาซื้อ E-Bike จึงไม่สามารถคาดหวังส่วนลดจากนโยบายภาครัฐได้ในระยะสั้นนี้ แต่ควรเปรียบเทียบคุณสมบัติ ราคา และความน่าเชื่อถือของผู้จำหน่ายแต่ละรายเพื่อหาตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด
วิเคราะห์ผลกระทบต่อตลาดและแนวโน้มราคา
นโยบายของภาครัฐได้สร้างความเคลื่อนไหวที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างตลาดรถยนต์ไฟฟ้าและตลาดจักรยานไฟฟ้า การทำความเข้าใจพลวัตของแต่ละตลาดจะช่วยให้คาดการณ์แนวโน้มในอนาคตได้ดียิ่งขึ้น
สงครามราคาในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าช่วงปลายปี 2568
ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนสิ้นสุดมาตรการ EV 3.0 ในปลายปี 2568 ตลาดรถยนต์ไฟฟ้ามีการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างยิ่ง ค่ายรถยนต์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ BYD, MG, และ ORA Good Cat ได้จัดแคมเปญส่งเสริมการขายและลดราคาอย่างหนักเพื่อเร่งระบายสต็อกและดึงดูดผู้ซื้อที่ต้องการใช้สิทธิ์เงินอุดหนุนสูงสุดเป็นครั้งสุดท้าย ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “สงครามราคา” ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้บริโภค แต่ก็สร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตและผู้จำหน่ายเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2568 เมื่อมาตรการ EV 3.5 เริ่มต้นขึ้นด้วยเงินอุดหนุนที่น้อยลง มีความเป็นไปได้สูงที่ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะปรับตัวสูงขึ้น หรือแคมเปญส่วนลดต่าง ๆ จะลดน้อยลง ตลาดจะเข้าสู่ภาวะสมดุลใหม่ที่ราคาจำหน่ายสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงมากขึ้น
ตลาด E-Bike: การเติบโตท่ามกลางความท้าทาย
ในทางกลับกัน ตลาด E-Bike เติบโตขึ้นจากความต้องการของผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ได้รับอิทธิพลจากเงินอุดหนุน การเติบโตนี้มาจากกระแสความใส่ใจในสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ความต้องการยานพาหนะที่คล่องตัวสำหรับการเดินทางในเมือง และค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ต่ำกว่ารถยนต์หรือจักรยานยนต์ทั่วไป
แม้จะไม่มีส่วนลดจากภาครัฐ แต่แนวโน้มราคาสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าและ E-Bike อาจค่อย ๆ ลดลงในระยะยาวได้จากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ที่ทำให้ต้นทุนถูกลง การแข่งขันที่สูงขึ้นระหว่างผู้ผลิต และความเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการในไทยจะเริ่มมีการประกอบหรือผลิตชิ้นส่วนสำคัญในประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนด้านภาษีนำเข้าและการขนส่งได้
อนาคตของ E-Bike ในประเทศไทย: มีโอกาสได้รับส่วนลดหรือไม่?
แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะยังไม่มีข่าวดีสำหรับผู้รอคอยส่วนลด E-Bike แต่ก็ยังไม่ควรมองข้ามโอกาสที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นโยบายของภาครัฐมีการปรับเปลี่ยนได้เสมอตามสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
สัญญาณเชิงบวกและปัจจัยที่อาจผลักดันให้เกิดการสนับสนุน
มีปัจจัยหลายประการที่อาจผลักดันให้รัฐบาลพิจารณามาตรการสนับสนุน E-Bike ในอนาคต:
- เป้าหมายด้านการลดมลพิษในเมือง: เมื่อตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเริ่มอยู่ตัว ภาครัฐอาจหันมาให้ความสำคัญกับการลดมลพิษจากการเดินทางในระดับจุลภาค (Micromobility) ซึ่ง E-Bike และสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าคือคำตอบที่ตรงจุด
- การส่งเสริมการเดินทางเชื่อมต่อ: E-Bike เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการเดินทางจากบ้านไปยังระบบขนส่งสาธารณะ (First-mile/Last-mile connectivity) การสนับสนุน E-Bike จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของโครงข่ายคมนาคมโดยรวม
- ความสามารถในการเข้าถึง: ด้วยราคาที่ต่ำกว่ารถยนต์ไฟฟ้ามาก E-Bike เป็นยานพาหนะไฟฟ้าที่คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ การให้เงินอุดหนุนจะช่วยให้ประชาชนจำนวนมากขึ้นสามารถเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาดได้
- การสร้างอุตสาหกรรมใหม่: หากมีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน อาจจูงใจให้เกิดการลงทุนในการผลิต E-Bike และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ สร้างงานและสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้เช่นกัน
ประเด็นเรื่องการซื้อ e-bike ลดหย่อนภาษี ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่อาจถูกนำมาพิจารณาในอนาคต ซึ่งเป็นรูปแบบการสนับสนุนที่ไม่ต้องใช้งบประมาณอุดหนุนโดยตรง แต่สามารถจูงใจผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี
ช่องทางการติดตามข้อมูลและข่าวสารนโยบาย
สำหรับผู้ที่ต้องการติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับอนาคต EV ไทย และนโยบายที่อาจเกี่ยวข้องกับส่วนลดจักรยานไฟฟ้า ควรติดตามข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐโดยตรง เช่น กระทรวงพลังงาน, กระทรวงอุตสาหกรรม, และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมถึงการประชุมของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนโยบายในอนาคต
บทสรุป: วางแผนซื้อ E-Bike อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด
โดยสรุป สำหรับคำถามที่ว่า “รัฐหนุน EV! E-Bike จะได้ลดราคาเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าไหม?” คำตอบ ณ สิ้นปี 2568 คือ ยังไม่มี มาตรการสนับสนุนโดยตรงในรูปแบบของเงินอุดหนุนหรือการลดหย่อนภาษีสำหรับจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าเหมือนกับที่รถยนต์ไฟฟ้าได้รับภายใต้โครงการ EV 3.0 และ EV 3.5
การตัดสินใจซื้อ E-Bike ในช่วงปี 2568-2569 จึงควรอยู่บนพื้นฐานของความคุ้มค่าจากตัวผลิตภัณฑ์เอง โดยพิจารณาจากราคา คุณภาพ สมรรถนะ และบริการหลังการขาย มากกว่าการรอคอยความช่วยเหลือจากภาครัฐ แม้ว่าในอนาคตจะมีโอกาสที่นโยบายจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังไม่มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ดังนั้น การเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายที่น่าเชื่อถือและมีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจึงเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในสถานการณ์ปัจจุบัน
ค้นหาจักรยานไฟฟ้าและสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์
แม้จะยังไม่มีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ แต่การลงทุนในจักรยานไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้ายังคงเป็นการตัดสินใจที่คุ้มค่า ทั้งในแง่ของการประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ความคล่องตัว และการเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อม
ที่ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมจักรยานไฟฟ้าทุกประเภท สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า และ E-Bike ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้งาน พร้อมทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำแนะนำเพื่อช่วยให้ท่านได้ยานพาหนะที่เหมาะสมที่สุด
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่:
- ที่ตั้งร้าน: 44 หมู่ 14 ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น 40000
- เวลาทำการ: วันจันทร์ – เสาร์ (เวลา 9.00 – 18.00 น.)
- โทรศัพท์: 061-962-2878
- ช่องทางออนไลน์: FACEBOOK PAGE, LINE, หรือ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ผ่านทางเว็บไซต์
