แบตฯ โซเดียมไอออน: อนาคต E-Bike ราคาถูกลง?
เทคโนโลยีแบตเตอรี่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า และล่าสุด แบตเตอรี่โซเดียมไอออน (Sodium-ion Battery) ได้กลายเป็นนวัตกรรมที่น่าจับตามองในฐานะทางเลือกใหม่ที่อาจมาปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มจักรยานไฟฟ้าหรือ E-Bike ที่ต้องการแหล่งพลังงานที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และที่สำคัญคือมีราคาที่เข้าถึงได้ง่าย
- แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนประมาณ 30% เนื่องจากใช้วัตถุดิบโซเดียมที่หาได้ง่ายและมีราคาถูกกว่า
- มีความโดดเด่นด้านความปลอดภัยสูง ลดความเสี่ยงการเกิดความร้อนสูงเกินไปหรือการลุกไหม้ ซึ่งเป็นข้อกังวลหลักในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
- สามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพในสภาพอากาศที่หลากหลาย ตั้งแต่อุณหภูมิต่ำสุดขั้ว -40 องศาเซลเซียส ไปจนถึง 45 องศาเซลเซียส
- แม้ความหนาแน่นพลังงานจะยังเป็นรองลิเทียมไอออนบางประเภท แต่ก็อยู่ในระดับที่เพียงพอ (160-165 Wh/kg) สำหรับการใช้งานใน E-Bike และยานยนต์ไฟฟ้าขนาดเล็ก
- คาดการณ์ว่าจะเริ่มนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์อย่างแพร่หลายในช่วงปี 2026-2028 ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อราคาจำหน่ายของ E-Bike ให้ถูกลง
ภาพรวมของเทคโนโลยีแบตเตอรี่โซเดียมไอออน
คำถามที่ว่า แบตฯ โซเดียมไอออน: อนาคต E-Bike ราคาถูกลง? กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานทางเลือก เทคโนโลยีแบตเตอรี่โซเดียมไอออนถูกมองว่าเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่จะเข้ามาแก้ไขข้อจำกัดของแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นด้านต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อจำกัดของแหล่งวัตถุดิบ และความกังวลด้านความปลอดภัย การเกิดขึ้นของนวัตกรรมแบตเตอรี่ชนิดนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่การพัฒนาทางเทคนิค แต่เป็นการเปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่จะทำให้ยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
ความเกี่ยวข้องของเทคโนโลยีนี้ต่อตลาดผู้บริโภคมีความชัดเจนอย่างยิ่ง เมื่อแบตเตอรี่ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีราคาสูงที่สุดใน E-Bike มีราคาถูกลง ย่อมส่งผลโดยตรงต่อราคาจำหน่ายปลีก ทำให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของจักรยานไฟฟ้าที่มีคุณภาพได้ในราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น นอกจากนี้ คุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและความทนทานต่อสภาพอากาศที่หลากหลาย ยังตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจึงถูกคาดหวังว่าจะเป็นอนาคตที่สดใสของวงการ E-Bike ทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วย
แบตเตอรี่โซเดียมไอออนคืออะไร?
การทำความเข้าใจถึงศักยภาพของแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจำเป็นต้องเริ่มต้นจากการรู้จักพื้นฐานและหลักการทำงานของมันเสียก่อน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าเหตุใดเทคโนโลยีนี้จึงแตกต่างและมีแนวโน้มที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงตลาดพลังงานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าได้
นิยามและหลักการทำงาน
แบตเตอรี่โซเดียมไอออน (Sodium-ion Battery หรือ SIB) คือแบตเตอรี่ชนิดประจุซ้ำได้ (Rechargeable Battery) ที่มีหลักการทำงานคล้ายคลึงกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Lithium-ion Battery) ที่เราคุ้นเคยกันดี กล่าวคือ ใช้การเคลื่อนที่ของไอออนระหว่างขั้วบวก (Cathode) และขั้วลบ (Anode) ผ่านสารละลายอิเล็กโทรไลต์ (Electrolyte) เพื่อกักเก็บและปล่อยพลังงานไฟฟ้า ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดอยู่ตรงที่ “ตัวกลาง” ในการนำพาประจุ ซึ่งเปลี่ยนจากการใช้ “ลิเทียมไอออน” มาเป็น “โซเดียมไอออน” แทน
โซเดียม (Na) เป็นธาตุที่อยู่ในตารางธาตุหมู่เดียวกับลิเทียม (Li) ทำให้มีคุณสมบัติทางเคมีไฟฟ้าที่ใกล้เคียงกัน แต่โซเดียมมีขนาดอะตอมที่ใหญ่กว่าและมีมวลมากกว่า ซึ่งในอดีตเคยเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาด้านความหนาแน่นของพลังงาน อย่างไรก็ตาม ด้วยความก้าวหน้าทางด้านวัสดุศาสตร์และนาโนเทคโนโลยีในปัจจุบัน นักวิจัยสามารถพัฒนาวัสดุสำหรับขั้วไฟฟ้าที่เหมาะสม ทำให้แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นจนอยู่ในระดับที่สามารถนำมาใช้งานเชิงพาณิชย์ได้แล้ว
ความแตกต่างจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
แม้จะมีหลักการทำงานที่คล้ายกัน แต่แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีความแตกต่างที่สร้างความได้เปรียบในหลายมิติเมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ดังนี้:
- วัตถุดิบ: โซเดียมเป็นธาตุที่มีมากเป็นอันดับ 6 ในเปลือกโลก สามารถสกัดได้ง่ายจากแหล่งทั่วไป เช่น น้ำทะเล หรือแร่เกลือหิน (Rock Salt) ซึ่งพบได้ในหลายประเทศทั่วโลก ในทางตรงกันข้าม ลิเทียมเป็นธาตุที่หายากกว่าและมีแหล่งผลิตกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ประเทศ ทำให้มีความผันผวนด้านราคาสูงและมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
- ต้นทุน: ความอุดมสมบูรณ์ของโซเดียมส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนวัตถุดิบที่ถูกกว่าลิเทียมอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น ตัวเก็บประจุ (Current Collector) ในขั้วลบยังสามารถใช้อะลูมิเนียมฟอยล์ราคาถูกแทนทองแดงฟอยล์ราคาแพงที่จำเป็นต้องใช้ในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้ ทำให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมลดลงได้ถึง 30%
- ความปลอดภัย: แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีความเสถียรทางเคมีและความร้อนสูงกว่า มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนสูงเกินควบคุม (Thermal Runaway) ซึ่งเป็นสาเหตุของการลุกไหม้หรือระเบิดในแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้น้อยกว่ามาก ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับการใช้งานในยานพาหนะ
- ประสิทธิภาพในอุณหภูมิต่ำ: หนึ่งในจุดเด่นที่สำคัญคือ แบตเตอรี่โซเดียมไอออนสามารถคงประสิทธิภาพการทำงานได้ดีเยี่ยมแม้ในอุณหภูมิติดลบ ซึ่งต่างจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ประสิทธิภาพจะลดลงอย่างมากในสภาพอากาศหนาวจัด
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ E-Bike มีราคาถูกลง
การเข้ามาของแบตเตอรี่โซเดียมไอออนถือเป็นข่าวดีสำหรับตลาด E-Bike ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ปัจจัยด้านราคาเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากยังลังเลที่จะเปลี่ยนมาใช้จักรยานไฟฟ้า เทคโนโลยีใหม่นี้มีศักยภาพที่จะทลายกำแพงดังกล่าวลงด้วยเหตุผลหลักสองประการ
ต้นทุนวัตถุดิบที่เข้าถึงง่าย
หัวใจสำคัญที่ทำให้แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีราคาถูกคือ “ความอุดมสมบูรณ์” ของวัตถุดิบหลัก โซเดียมสามารถพบได้ทุกหนทุกแห่งบนโลก ไม่ว่าจะเป็นในมหาสมุทรหรือใต้ดินในรูปของเกลือสินเธาว์ ทำให้การจัดหาวัตถุดิบเป็นไปอย่างง่ายดายและไม่ขึ้นอยู่กับแหล่งผลิตเพียงไม่กี่แห่งเหมือนลิเทียม สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในตลาดโลก และทำให้ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่มีเสถียรภาพมากกว่า
การเปลี่ยนจากลิเทียมที่หาได้จำกัดมาเป็นโซเดียมที่หาได้ทั่วไป เปรียบเสมือนการเปลี่ยนจากการพึ่งพาทรัพยากรหายากมาสู่การใช้ทรัพยากรพื้นฐานที่มีอยู่เหลือเฟือ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการผลิตในระดับมวลชน (Mass Production) ที่มีต้นทุนต่ำ
กระบวนการผลิตที่มีประสิทธิภาพ
นอกเหนือจากราคาวัตถุดิบแล้ว กระบวนการผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนยังเอื้อต่อการลดต้นทุนได้อีกด้วย เทคโนโลยีการผลิตสามารถใช้เครื่องมือและสายการผลิตเดียวกันกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนได้เกือบทั้งหมด ทำใหผู้ผลิตไม่ต้องลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมด แต่สามารถปรับเปลี่ยนสายการผลิตเดิมได้ทันที นอกจากนี้ การใช้วัสดุราคาถูกอย่างโซเดียมคาร์บอเนตและโซเดียมไฮดร็อกไซด์เป็นส่วนประกอบในอิเล็กโทรไลต์ รวมถึงการใช้อะลูมิเนียมฟอยล์แทนทองแดงฟอยล์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยกดต้นทุนการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ให้ต่ำลงได้อีก ข้อมูลจากการวิจัยชี้ว่าต้นทุนการผลิตโดยรวมสามารถลดลงได้ถึง 30% เมื่อเทียบกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ซึ่งถือเป็นประเภทที่ราคาถูกที่สุดในกลุ่มลิเทียมไอออนแล้ว
คุณสมบัติเด่นที่มากกว่าแค่เรื่องราคา
แม้ว่าจุดขายหลักของแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจะเป็นเรื่องราคาที่เข้าถึงง่าย แต่เทคโนโลยีนี้ยังมีคุณสมบัติที่น่าสนใจอีกหลายด้าน ซึ่งทำให้มันเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานใน E-Bike
มาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือกว่า
ความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ผู้ใช้งานยานพาหนะไฟฟ้าให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก แบตเตอรี่โซเดียมไอออนมีความเสถียรทางเคมีสูงกว่า ทำให้ทนทานต่อสภาวะที่ไม่ปกติ เช่น การชาร์จไฟเกิน การลัดวงจร หรือการกระแทก ได้ดีกว่าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน โอกาสที่จะเกิดความร้อนสะสมจนนำไปสู่การลุกไหม้นั้นมีน้อยมาก คุณสมบัตินี้ทำให้ผู้ใช้งาน E-Bike มีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้งานในสภาพอากาศร้อนอย่างประเทศไทย ซึ่งอุณหภูมิที่สูงอาจเป็นปัจจัยเร่งให้แบตเตอรี่เกิดความเสียหายได้ง่าย
ประสิทธิภาพการทำงานในสภาพอากาศสุดขั้ว
หนึ่งในข้อได้เปรียบที่ชัดเจนที่สุดของแบตเตอรี่โซเดียมไอออนคือความสามารถในการทำงานใน εύροςอุณหภูมิที่กว้างมาก โดยสามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพตั้งแต่อุณหภูมิ -40 ไปจนถึง 45 องศาเซลเซียส ในขณะที่แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนมักจะสูญเสียประจุและความสามารถในการจ่ายไฟไปอย่างมากเมื่ออุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง สำหรับการใช้งาน E-Bike ซึ่งเป็นยานพาหนะที่ต้องจอดและใช้งานกลางแจ้งเป็นประจำ คุณสมบัตินี้ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ทำให้มั่นใจได้ว่าแบตเตอรี่จะยังคงทำงานได้ดีไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอากาศร้อนจัดหรือเย็นจัดก็ตาม
อายุการใช้งานที่ยาวนานและทนทาน
อายุการใช้งานหรือจำนวนรอบการชาร์จ (Cycle Life) เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ E-Bike ในระยะยาว แบตเตอรี่โซเดียมไอออนได้แสดงให้เห็นถึงความทนทานที่น่าประทับใจ จากข้อมูลการทดสอบพบว่ามันสามารถชาร์จซ้ำได้หลายพันรอบ โดยบางงานวิจัยระบุว่าอาจสูงถึง 10,000 รอบ ซึ่งหมายความว่าแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานที่ยาวนานหลายปี ช่วยลดความจำเป็นในการเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยครั้ง และส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาต่ำลงอย่างมากในระยะยาว
ความหนาแน่นพลังงาน: ความท้าทายและศักยภาพสำหรับ E-Bike
แม้จะมีข้อดีมากมาย แต่แบตเตอรี่โซเดียมไอออนก็ยังมีความท้าทายอยู่บ้าง โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องความหนาแน่นของพลังงาน (Energy Density) ซึ่งหมายถึงปริมาณพลังงานที่สามารถกักเก็บได้ต่อน้ำหนักหรือปริมาตร
สถานะปัจจุบันของเทคโนโลยี
ในปัจจุบัน แบตเตอรี่โซเดียมไอออนที่ผลิตในเชิงพาณิชย์มีความหนาแน่นพลังงานอยู่ที่ประมาณ 160-165 วัตต์-ชั่วโมงต่อกิโลกรัม (Wh/kg) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนฟอสเฟต (LFP) ที่นิยมใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่น แต่ยังคงต่ำกว่าแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนชนิด NMC (นิกเกิล-แมงกานีส-โคบอลต์) ที่มีความหนาแน่นพลังงานสูงกว่า 250 Wh/kg ข้อจำกัดนี้หมายความว่า หากต้องการพลังงานในปริมาณเท่ากัน แบตเตอรี่โซเดียมไอออนจะมีน้ำหนักและขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย
ความเพียงพอต่อการใช้งานจักรยานไฟฟ้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับการใช้งานในยานพาหนะขนาดเล็กอย่าง E-Bike ซึ่งไม่ต้องการระยะทางวิ่งที่ไกลมากต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และไม่ได้ใช้ความเร็วสูงเท่ารถยนต์ไฟฟ้า ความหนาแน่นพลังงานในระดับ 160-165 Wh/kg ถือว่า “เพียงพอ” ต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างแน่นอน พลังงานระดับนี้สามารถให้ระยะทางวิ่งได้หลายสิบกิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมการเดินทางระยะสั้นถึงปานกลางได้อย่างสบาย ดังนั้น ประเด็นเรื่องน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจึงถูกชดเชยด้วยข้อดีด้านต้นทุนที่ถูกลงอย่างมหาศาลและความปลอดภัยที่สูงขึ้น ทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่สมดุลและลงตัวอย่างยิ่งสำหรับตลาด E-Bike
| ข้อดีหลัก | รายละเอียด |
|---|---|
| ต้นทุนผลิตต่ำกว่า | วัตถุดิบโซเดียมมีราคาถูกและหาได้ง่ายกว่าลิเทียม ทำให้ต้นทุนการผลิตโดยรวมต่ำลงกว่า 30% |
| ความปลอดภัยสูง | มีความเสถียรทางเคมีสูงกว่า ลดความเสี่ยงการเกิดความร้อนสูงเกินไป การลุกไหม้ หรือการระเบิด |
| ประสิทธิภาพในอุณหภูมิต่ำ | สามารถทำงานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย ทั้งร้อนจัดและเย็นจัด โดยไม่สูญเสียประสิทธิภาพ |
| อายุการใช้งานยาวนาน | มีจำนวนรอบการชาร์จสูง (หลายพันรอบ) ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนานและคุ้มค่าในระยะยาว |
| ความหนาแน่นพลังงานดีเพียงพอ | ระดับ 160-165 Wh/kg เพียงพอสำหรับการขับเคลื่อนรถสองล้อไฟฟ้าขนาดเล็กสำหรับการใช้งานทั่วไป |
ทิศทางตลาดและอนาคตในประเทศไทย
การพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่โซเดียมไอออนไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดในห้องทดลองอีกต่อไป แต่กำลังก้าวเข้าสู่การผลิตเชิงพาณิชย์อย่างรวดเร็ว โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากหลายประเทศทั่วโลก
การลงทุนและการพัฒนาในระดับโลก
ประเทศจีนถือเป็นผู้นำในการผลักดันเทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง โดยบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ยักษ์ใหญ่อย่าง CATL ได้ประกาศแผนการผลิตแบตเตอรี่โซเดียมไอออนในระดับอุตสาหกรรมแล้ว เช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ในจีนและอินเดียที่กำลังเร่งลงทุนและพัฒนาเพื่อชิงส่วนแบ่งในตลาดพลังงานทางเลือกใหม่นี้ นอกจากนี้ บริษัทในฝั่งตะวันตกอย่าง Faradion ก็เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นสำคัญที่ผลักดันการวิจัยและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันที่สูงขึ้นนี้เป็นสัญญาณที่ดีว่าจะทำให้เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีราคาที่ถูกลงอีกในอนาคต
ศักยภาพของตลาดในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทย กระแสความตื่นตัวในเทคโนโลยีนี้ก็มีเช่นกัน โดยมีทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นที่สามารถพัฒนาแบตเตอรี่โซเดียมไอออนได้สำเร็จและพร้อมที่จะต่อยอดสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ การมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าแบตเตอรี่จากต่างประเทศ และสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศได้ในระยะยาว
คาดการณ์ว่าในช่วงปี 2026-2028 เราจะได้เห็น E-Bike ที่ใช้แบตเตอรี่โซเดียมไอออนวางจำหน่ายในตลาดประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะทำให้ราคาของจักรยานไฟฟ้าโดยรวมถูกลงและเข้าถึงง่ายขึ้นสำหรับคนทั่วไป สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่สนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพื่อลดปัญหามลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
บทสรุป: โซเดียมไอออน ตัวเปลี่ยนเกมแห่งวงการ E-Bike
โดยสรุปแล้ว แบตเตอรี่โซเดียมไอออนคือเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่มีศักยภาพสูงในการเข้ามาปฏิวัติตลาดจักรยานไฟฟ้า (E-Bike) ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นทั้งในด้านต้นทุนที่ต่ำกว่า ความปลอดภัยที่สูงกว่า ประสิทธิภาพที่เชื่อถือได้ในทุกสภาพอากาศ และอายุการใช้งานที่ยาวนาน ทำให้มันเป็นคำตอบที่ลงตัวสำหรับความต้องการยานพาหนะไฟฟ้าที่ราคาไม่แพง ทนทาน และปลอดภัย
การมาถึงของแบตเตอรี่โซเดียมไอออนจะช่วยทลายกำแพงด้านราคาและทำให้ E-Bike ไม่ใช่สินค้าสำหรับคนกลุ่มเฉพาะอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นยานพาหนะทางเลือกที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ส่งเสริมการเดินทางที่สะอาดและยั่งยืนในสังคมเมือง การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลดีต่อผู้บริโภค แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของไทยในการเติบโตและสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลอีกด้วย
สำหรับผู้ที่กำลังมองหาจักรยานไฟฟ้า สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า หรือ E-Bike ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ GIANT Shopping Mall คือศูนย์รวมยานพาหนะไฟฟ้าคุณภาพหลากหลายประเภท ที่พร้อมให้คำปรึกษาและบริการอย่างมืออาชีพ สามารถดูรายละเอียดสินค้าเพิ่มเติมได้ที่ FACEBOOK PAGE หรือสอบถามผ่านทาง LINE และสามารถ ติดต่อ สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่เว็บไซต์โดยตรง
